ยุคใดไทย เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

11 ก.ค. 2562 | 03:51 น.

ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3486 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 11-13 ก.ค.2562 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

ยุคใดไทย
เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

 

          เห็นนักการเมืองฝ่ายค้าน และนักกิจกรรมการเมืองต้าน คสช.ออกมากระพือโหมกระจายข่าว อาศัยเหตุการณ์ที่มีคนร้าย 2 คน โดยไม่ทราบว่าเป็นใครฝ่ายใด รุมทำร้าย นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง อันเป็นพฤติกรรมในลักษณะใช้เหตุการณ์ การถูกทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ เลือดตกยางออกของบุคคลอื่น สร้างขยายให้เป็นประเด็นทางการเมือง มุ่งโจมตีใส่ร้ายพุ่งเป้าไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้สังคมเข้าใจว่ารัฐบาลรู้เห็นสั่งการให้ทำร้ายจ่านิว เพื่อหวังปิดปากหยุดความเคลื่อนไหวข่มขู่ มิให้นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองคนอื่นๆ กล้าขับเคลื่อนกิจกรรมใดๆ ในลักษณะเป็นการต่อต้านรัฐบาล
          จากการติดตามฟังการให้สัมภาษณ์ และสามัคคีกันออกมาโหมกระแส ของบรรดานักการเมืองฝ่ายค้านเหล่านั้นแล้ว ทำให้รู้สึกประหลาดใจและสงสัยต่ออาการตัวสั่น และความกระตือรือร้นในการออกมาโจมตีรัฐบาลของผู้คนเหล่านี้ เพราะฟังแล้วทำให้อดสมเพชเวทนา ออกจะสะอิด สะเอียนต่อบทบาทและท่าทีของนักการเมืองจำพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทำประหนึ่งว่าเป็นผู้รักความยุติธรรม รังเกียจความรุนแรง รับไม่ได้กับพฤติกรรมการคุกคาม ต่อสิทธิ เสรีภาพ ชีวิตและร่างกายของผู้อื่น ทุกคนทำตนเป็นพวกนักสิทธิมนุษยชนจ๋า รับไม่ได้กับความรุนแรงในทุกรูปแบบ แม้กระทั่งพวกนักการเมืองสายอันธพาล ก็กระโดดออกมาเป็นคุณพ่อรู้ดี ว่าความรุนแรงและกลุ่มคนที่กระทำกับจ่านิวเป็นใคร อยู่ที่ไหนใครใช้ใครบงการให้ที่พักพิง อวดเก่งรู้ดีเสียหมด พวกเขาทำประหนึ่งว่าประเทศไทย ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงทางการเมืองเช่นนี้มาก่อน
          เรื่องความรุนแรง ความป่าเถื่อน หรือการทำร้ายต่อชีวิตและร่างกายบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลฝ่ายใด ที่กระทำต่อใครโดยละเมิดและผิดต่อกฎหมาย ล้วนเป็นสิ่งที่สังคมพึงประณามทั้งสิ้น รัฐต้องมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองปกป้องต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอันเป็นหน้าที่ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ การใช้ความรุนแรงกรณีจ่านิวหรือกรณีของบุคคลใด ล้วนเป็นสิ่งไม่ถูกต้องทั้งสิ้น “ถ้ารัฐเป็นผู้กระทำและใช้ความรุนแรงโดยไม่เป็นธรรม อันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายกับประชาชนเสียเอง รัฐบาลนั้นก็เป็นรัฐบาลทรราช” สมควรที่ประชาชนต้องต่อต้านคัดค้านหรือแม้กระทั่งโค่นล้มได้

          ปัญหามีว่า แล้วกรณีของจ่านิว เราทราบแน่ชัดแล้วหรือยังว่า เป็นฝีมือและการกระทำของใคร ฝ่ายใด มีใครใช้ใครบงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อการใด ซึ่งข้อเท็จจริงนี้แน่นอนด้านหนึ่ง รัฐมีหน้าที่ต้องติดตามสืบสวนสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ ขณะเดียวกันหากฝ่ายค้านมีหลักฐานรู้ตัวก็ควรรีบดำเนินการช่วยรัฐลากคอออกมาสิครับ มิใช่อาศัยการบาดเจ็บทุกข์ทรมานของคนอื่น เป็นเครื่องมือทางการเมือง หวังผลแค่ทำลายความเชื่อถือของรัฐบาล ดึงองค์กรต่างชาติมาร่วมประณามประเทศไทยให้เสียหาย
          หากพิจารณาและติดตามข่าวนี้ด้วยใจเป็นธรรม เคารพต่อความจริงแล้วจะเห็นว่า ประเทศไทยยุคใดที่ไทยต้องเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้ขื่อแปของกฎหมายบ้านเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระหว่างปี 2547-2557 10 ปี ก่อนเกิดการปฏิวัติ โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. รัฐบาลภายใต้ “ระบอบทักษิณ” รวมนายกรัฐมนตรี 4 คน คือ นายทักษิณ ชินวัตร, นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้วนมีเหตุการณ์ความรุนแรงแบบป่าเถื่อน ละเมิดต่อชีวิต สิทธิ เสรีภาพประชาชน อย่างร้ายแรงนับไม่ถ้วน
          25 พ.ค. 2551 พันธมิตรประชาชนฯ ชุมนุมทางการเมืองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถูกกลุ่มอันธพาลการเมืองที่รัฐบาลทักษิณสนับสนุน เข้ามาก่อกวนทำร้ายจนบาดเจ็บหลายราย
          2 ก.ย. 2551 พันธมิตรประชาชนฯ ชุมนุมโดยสงบอยู่ที่ถนนราชดำเนินใกล้แยก จปร.หน้าสำนักงานสหประชาชาติ ถูกพวก นปช. (กลุ่มเสื้อแดง) พร้อมอาวุธบุกเข้าทำร้ายบาดเจ็บ 45 คน สาหัส 12 คน เสียชีวิต 2 คน
          26 ส.ค. 2551 พันธมิตรประชาชนฯ ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ถูกอันธพาลการเมืองที่รัฐบาลสนับสนุน ยิงระเบิด M79 ใส่ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นรายวัน
          7 ต.ค. 2551 พันธมิตรประชาชนฯ ชุมนุมโดยสงบที่หน้ารัฐสภา รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งให้ใช้กำลังตำรวจนับพันนายพร้อมอาวุธและแก๊สนํ้าตา ระดมยิงใส่ประชาชนตั้งแต่ 06.00-22.00น จนประชาชนบาดเจ็บสาหัส แขนขาขาด ทุพพลภาพ นับพันคน เสียชีวิตทันที 2 คน และยังมีเหตุความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมที่คิดต่างทางการเมือง ด้วยการโยนระเบิดหรือยิงระเบิด M 79 ใส่ผู้ชุมนุมอีกหลายครั้ง
          ส่วนในการชุมนุมของ กปปส.และมวลมหาประชาชน ที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อันเป็นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนที่คิดต่างจากรัฐบาล ก็มีเหตุความรุนแรงแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน โดนทั้งการโยนระเบิดใส่ผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มีการไล่ยิงผู้ชุมนุมกลางวันแสกๆจนเสียชีวิต โดยที่รัฐบาลขณะนั้นนิ่งเฉย จับคนร้ายไม่ได้แม้แต่รายเดียว
          เกี่ยวกับการคุกคามทำร้ายต่อชีวิตประชาชน เป็นลักษณะเฉพาะรายบุคคล ในยุคที่รัฐบาลระบอบทักษิณเรืองอำนาจ มีเหตุการณ์อุ้มฆ่า ทนายสมชาย นีละไพจิตร, อุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร และที่เป็นโศกฆาตกรรมไม่ต่างจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็คือ การที่รัฐใช้กำลังตำรวจสังหารประชาชนร่วม 2,500 ศพ โดยมิได้ผ่านการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ภายใต้นโยบายทำสงครามปราบปรามยาเสพติด ในยุครัฐบาลทักษิณ ด้วยความอำมหิตเยี่ยงรัฐบาลฆาตกร

          ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่รัฐบาลทักษิณสนับสนุน กลับมีพฤติกรรมชุมนุมโดยละเมิดกฎหมายและสิทธิเสรีภาพผู้อื่น เช่น การชุมนุมก่อจลาจลหน้าบ้าน พล.อ.เปรมติณสูลานนท์, บุกทำลายทรัพย์สินและการประชุมสุดยอดอาเซียน จนผู้นำหนีตายอลหม่าน, เผาห้างสรรพสินค้าของเอกชน, เผาศาลากลางทำลายทรัพย์สินของรัฐ, ฆ่าเจ้าพนักงาน
          เหตุความรุนแรงจนสภาพบ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะจลาจล ไร้ขื่อแปของบ้านเมือง จนสภาพสังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ประชาชน ประเทศไร้การปกครอง เพราะผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับอำนาจการปกครองที่ไร้ความเป็นธรรม บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะมืดมนไร้ทิศทาง นี่คือความเป็นจริงของประเทศภายใต้ระบอบทักษิณ
          ในสถานการณ์บ้านเมืองดังกล่าว ทั้งรัฐบาลและพรรคการเมืองที่สนับสนุน ก็คือกลุ่มพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ แต่ในช่วงเวลานั้นพวกเขาต่างหุบปากเงียบ องค์กรต่างชาติก็หมุดหัวหาย มิได้แสดงความคิดเห็นหรือออกมาคัดค้านต่อต้าน หรือติดตามตรวจสอบการใช้ความรุนแรงอันป่าเถื่อน ต่อประชาชนผู้คิดต่างในทางการเมืองแต่อย่างใด 
          จึงไม่มียุคใดสมัยใดที่ไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เท่ายุคสมัยในระบอบทักษิณ หากฝ่ายค้านจะช่วยทำให้บ้านเมืองสงบสุข ต้องมาช่วยกันกวาดล้างซากเดนของการเมืองระบอบทักษิณให้สิ้นซาก ก็จะเป็นคุณูปการกับบ้านเมืองยิ่งกว่า เอาแต่ใส่ร้ายโจมตีผู้อื่น