ขึ้นภาษี VAT ดีกว่ามั้ง!

15 ม.ค. 2559 | 01:30 น.
ทราบว่ากระทรวงการคลังกำลังพิจารณาจะปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง จากสูงสุด 35 % ให้เหลือ 30 % ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วมาตรการการคลังนั้นก็สมควรจะพิจารณาลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงไปในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ เพื่อเพิ่มเงินในมือของประชาชนและหวังให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายเป็นการเพิ่มการบริโภคได้อีกทางหนึ่ง แต่ถ้าดูอีกด้านหนึ่งการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงเช่นนี้ดูแล้วไม่ต่างกับ "เอาเนื้อหนู ไปปะเนื้อช้าง" เพราะเพียงกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากจุดนี้

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะจริงๆ แล้วคนไทยที่เสียภาษีให้รัฐอยู่ในทุกวันนี้อย่างเก่งไม่เกินประมาณ 6-7 ล้านคน เพราะดูตัวเลขเมื่อปี 2557 มีคนไปเสียภาษีแค่ 3.8 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ไปยื่นแบบเสียภาษีประมาณ 10 ล้านราย ก็ได้แต่ยื่นเพราะไม่เข้าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ทั้งที่ประเทศไทยมีประชากรอยู่ 67 ล้านคนโดยประมาณ เนื่องจากเรามีทั้งเด็ก มีทั้งคนชรา มีทั้งพระ มีทั้งนักบวช มีทั้งคนพิการ มีทั้งส่วนที่เข้าข่ายข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็เป็นแรงงานนอกระบบ นี่ก็เรียกว่าคนประมาณ 4 ล้านคนที่เสียภาษีให้แก่รัฐไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ซื้อทุกรายไม่ว่าผู้นั้นจะมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีหรือไม่ จะต้องจ่ายภาษีนี้ในอัตรา 7%

ภาษีเป็นรายได้ของรัฐ เมื่อคนเพียงเล็กน้อยที่เสียภาษีเงินได้ให้แก่รัฐ บวกกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บได้จากการขายสินค้าดูอย่างไรก็ไม่น่าจะพอกับแผนการจ่ายที่รัฐมีอยู่ ทำให้รัฐมีภาระต้องกู้หนี้ยืมสินไปลงทุน ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเราหวังว่าวันข้างหน้าจะดีขึ้น เราต้องยอมขาดดุลการคลัง แต่ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเครดิตประเทศในสายตาต่างประเทศบางประเทศให้เครดิตเราต่ำมาก บางประเทศเขามีหนี้สาธารณะสูงถึง 300-400% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ "จีดีพี" ก็ไม่เป็นไร แต่เรามีหนี้สาธารณะเกิน 50% ก็บอกว่าไปเทศไทยแย่แล้ว

ปกติแล้วอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยต้องจ่าย 10% แต่ทุกวันนี้รัฐเรียกเก็บเพียง 7% ถือเป็นอัตราเฉพาะกิจ บางทีก็น่าคิดเหมือนกันว่าแล้วทำไมไม่ไปเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มอัตรา คือ 10% เลยหล่ะ เพราะดูแล้วจะเสมอภาคกันดี เท่าเทียมกันดีไม่ว่าคุณจะมีเงินได้มากน้อยเท่าใดก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากัน

ถ้าเก็บในอัตรานี้ผมว่ารายได้จะเข้าประเทศเพิ่มจากเดิมอีก 3% ผมว่าปริมาณเงินน่าจะมากโขเอาการ การกู้หนี้ยืมสินเพื่อรัฐนำเงินมาลงทุนทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็จะสะดวกขึ้นเพราะรัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็ดูอย่างประเทศญี่ปุ่นสิครับ เขาก็ "อั้น" ไม่ยอมเก็บภาษีชนิดนี้แบบเต็มอัตรามานาน แล้ววันหนึ่งก็ประกาศขึ้นภาษีชนิดนี้ ทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องมีแผนงานอื่นมารองรับ เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจจะทรุดตัวลงไปทันที ซึ่งญี่ปุ่นก็ทำได้ดีเป็นต้นว่า เปิดฟรีวีซ่าให้คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเขา เป็นต้น

รู้มั้ย คนที่เลี่ยงภาษี จะทำอย่างไรเขาก็จะเลี่ยงภาษีกันอยู่วันยังค่ำ คนที่เคยเสีย ก็ต้องเสียอยู่วันยังค่ำ อย่างข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชนที่มีเงินได้ถึงระดับ และคนเหล่านี้ก็มีอยู่ประมาณ 4 ล้านรายเท่านั้นหล่ะครับ มีแต่ภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้นถึงแม้จะเล็ดรอดไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าเก็บเป็นเนื้อเป็นหนังได้มากกว่า ก็น่าจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้เต็มอัตรา 10% ไปเลย

บางคนอาจจะบอกว่า ถ้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนภาษีเพิ่ม ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเลยครับ ทุกวันนี้ก๋วยเตี๋ยวในห้างฯ ราคาก็ 50 บาทขึ้นอยู่แล้ว จะขึ้นก็ให้ขึ้นไปเพราะร้ายก๋วยเตี๋ยวข้างถนนยังขายอยู่ชามละ 35 อย่างเก่งไม่เกิน 40 บาทเท่านั้น ผู้บริโภคจะเป็นคนเลือกเองว่าจะรับประทานก๋วยเตี๋ยวในห้างฯ หรือร้านค้าริมถนน สินค้าอื่นๆ ก็เช่นกันผมก็ว่ามีทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคมากมาย ยิ่งทุกวันนี้คนไทยใช้สอยอย่างประหยัด ก็ให้ขึ้นราคาไปเถอะครับถ้าเขาคิดว่าสินค้าเขาจะขายได้ก็ให้เขาขายไป ถ้าดีมานด์ไม่มีซัพพลายก็ไปไม่รอดเหมือนกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,122 วันที่ 14 - 16 มกราคม พ.ศ. 2559