ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็เหมือนกับที่มีการขโมยข้อมูลบุคคลและเบอร์โทรศัพท์นำไปขายให้ธนาคารหรือบริษัทประกันที่โทร.มาขายประกันบ้าง ขายบัตรเครดิต จนเรารำคาญกันนั่นละครับ เพียงแต่ว่า รูปแบบของ Big Data ในปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปอยู่ในรูปของแพลตฟอร์มดิจิตอลโดยที่ผู้บริโภคถูกขโมยข้อมูลโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นเอง
ดังนั้น Big Data และ Blockchain จึงมีปรัชญาที่สวนทางกันอย่างชัดเจน Big Data คือแหล่งทำมาหากินหลักของเหล่าบริษัทที่เป็นคนกลาง (Centralized) ขณะที่ Blockchain นั้นเป็นระบบที่กำจัดคนกลาง (Decentralized) เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเงิน เสียค่าใช้จ่าย เสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม เปิดทางสู่การติดต่อกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับโดยตรง หรือระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายโดยตรง โดยสรุปก็คือ ทุกวันนี้ เฟซบุ๊ก กูเกิล ก็เหมือนกับพ่อค้าคนกลางในระบบการทำธุรกิจ โดยอาศัยผลประโยชน์จากการ ใช้ Big Data แต่ บล็อกเชนกำลังจะทำลายสิ่งเหล่านั้นไป
นี่คือเหตุผล ที่ว่า ทำไม นายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ถึงต้องกระโดดเข้ามาศึกษาระบบนี้อย่างชัดเจน และกำลังมองลู่ทางว่าจะหาผลประโยชน์หรือปรับตัวให้เข้ากับมันอย่างไร เพราะระบบนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ยิ่งถ้าทั่วโลกทำธุรกรรมทางการเงิน ส่งข้อมูลติดต่อกันผ่านระบบบล็อกเชนกันมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อ Big Data มากขึ้นเท่านั้น และเท่ากับเป็นการทำลายแหล่งทำมาหากินของบรรดาบริษัทโซเชียล หรือธนาคารโดยตรงครับ