อังกฤษกับประเทศไทย
แต่กระนั้น ผลการเลือกตั้งที่ออกมา ก็ต้องทำให้เธอผิดหวังไม่น้อย เพราะแม้พรรคอนุรักษ์นิยมจะสามารถคว้าคะแนนเสียงมาได้เป็นอันดับ 1 แต่ทว่าไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้โดยขาดไป 8 เสียงที่จะได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่งคือ 326 เสียงจากทั้งหมด 650 ที่นั่งในรัฐสภาทำให้นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ต้องไป จับกับพรรคเล็กที่ได้เสียงมา 10 ที่นั่ง นั่นก็คือ พรรค ยูดีพีซึ่งเป็นพรรคที่ไม่โปรดยุโรปเหมือนกับเธอ เป็นพรรคมาจากไอร์แลนด์
ดังนั้น ผลสรุปคร่าวๆจากการเลือกตั้งอังกฤษ ที่ได้ก็คือพรรคอนุรักษนิยม น่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ไม่ได้เสียงเด็ดขาดแต่กระนั้นก็คาดว่ากระบวนการเจรจาเบร็กซิทของอังกฤษ ก็จะเป็นไปตามแนวทางสายแข็ง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Hard Brexit ต่อไปในเวลาอีก 2 ปีหลังจากนี้แม้ว่าหลายฝ่ายจะคาดว่า มติต่างๆที่จะผ่านรัฐสภาอังกฤษหลังจากนี้ไปนั้นจะไม่ง่ายนักสำหรับนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์
[caption id="attachment_161743" align="aligncenter" width="390"]
สิ่งที่จะต้องจับตากันก็คือในด้านการค้านั้น การทำการค้าระหว่างไทยและอังกฤษนั้นจะกระทำกันผ่านสหภาพยุโรป ไทยไม่ได้เจรจากับอังกฤษโดยตรงแต่จะผ่านการเจรจาต่อรองกับสหภาพยุโรป ดังนั้นเมื่อเบร็กซิทมีผลจริงเมื่ออังกฤษออกจากการเป็นสหภาพยุโรปจริงในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ การค้าไทยกับอังกฤษก็จะต้องคุยกันโดยตรง
โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทยและอังกฤษนั้น ก็ถือว่าไม่มากครับ จากข้อมูลด้านการค้าไทย-อังกฤษจากสถานทูตไทยในกรุงลอนดอนในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2559 (มค.-มิ.ย.) นั้นมีทั้งสิ้น 2,745.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 17.39% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558โดยประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังสหราชอาณาจักรมูลค่า 1,823.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯลดลง 6.21% ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาจักรมูลค่า 921.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯลดลง 33.15% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ไทยได้ดุลการค้าจำนวน 902.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมนั้น ส่วนนี้น่าจะได้รับการจับตาเป็นพิเศษ เพราะการเจรจาเบร็กซิทในช่วง 2 ปีจากนี้ น่าจะเป็นการเจรจาที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันหากยังจำกันได้ นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ เคยเผยแผนต่อรองกับสหภาพยุโรปมาแล้วครั้งหนึ่งอังกฤษต้องการที่จะได้รับความเท่าเทียมในด้านการค้ากับยุโรปในรูปแบบการค้าเสรีระหว่างกันก่อนที่อังกฤษจะเปิดเจรจาในความร่วมมือด้านความมั่นคงและการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างชาวอังกฤษและยุโรป ว่าจะได้สถานะเหมือนเดิมหรือไม่
ซึ่งก็มีเสียงโต้แย้งจากฝั่งยุโรปในทันทีครับ ว่ายุโรปจะไม่ คุยเรื่องการค้าตราบใดที่ไม่มีการตกลง ด้านความมั่นคง และเรื่องอื่นๆ ก่อน
แค่เริ่มก็ส่งสัญญาณเดือดกันแล้ว โดยการเจรจาที่จะดุเดือดเช่นนี้ จะเกิดขึ้นตลอดระยะ 2 ปี หลังจากนี้ ยุโรปยังต้องการให้อังกฤษจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่สมาชิกยุโรปต้องจ่ายอยู่แล้วนับหมื่นล้านยูโรต่อไปด้วย
การเจรจาอันร้อนแรงหลังจากนี้ น่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งค่าเงินปอนด์สเตอริง และค่าเงินยูโร ของกลุ่มยูโรโซนทันทีและนั่น ก็จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท และการไหลเข้าออกของทุนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นภาวะความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นกับค่าเงินบาทไทยในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ครับ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,270 วันที่ 15 - 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560