ยึดทรัพย์‘จีทูเจี๊ยะ’ อย่าให้เป็นเกมแมวไล่จับหนู…

23 ก.พ. 2560 | 04:30 น.
ต้องบอกว่าระฆังยกแรกในการตามล้างตามล่าการทุจริตการระบายข้าวในโครงการ “จีทูจี” หรือ “จีทูเจี๊ยะ”ให้กับรัฐบาลจีน จนเกิดความเสียหายร่วม 2 หมื่นล้านบาท ที่ศาลปกครองยกคำขอคุ้มครองของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์กับพวก 5 คน เกิดขึ้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมขอบอกกันในตรงนี้เลยว่า ไม่ง่าย...ไม่หมู

เมื่อใดที่มีการลงมืออายัดหรือยึดทรัพย์ ทั้ง นายบุญทรง นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก ก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้อีก อยู่ที่ศาลว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่

เพราะเรื่องนี้เป็นคดีทางปกครอง แม้ว่ารัฐบาลนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลมก็ไม่ทำให้สิทธิทางปกครองของผู้ถูกกล่าวหา ทั้งนายบุญทรง นายภูมิ และพวกอันประกอบด้วย พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศจะหมดไป

สิทธิทางปกครองในการร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว หรือทุเลาการบังคับคดีได้อีก และอยู่ที่ศาลด้วยว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่นี่เองที่จะทำให้รัฐบาล ข้าราชการไทยจะต้องเล่นบท “แมวไล่จับหนู" เพราะมีช่อง ที่ขึ้นอยู่กับ "ศาล"

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากท่าทีและพฤติกรรมของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่เรียกประชุมหน่วยงานทั้งกระทรวงพาณิชย์และกรมบังคับคดีแล้วบอกได้ว่า การเดินหน้ายึดทรัพย์จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้

“สืบได้แค่ไหนก็นำยึดแค่นั้น แต่ภายในอายุความ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์ มีคำสั่งทางปกครอง หากพบมีทรัพย์สินอีกก็สามารถไปนำยึดได้อีก และหากมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ตามกฎหมายก็มีช่องดำเนินการ ทั้งนี้ ถ้ามีทรัพย์ไม่พอก็ยึดเท่าที่มี...

ในการสืบทรัพย์หากทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น อีก 1 ปีสืบทรัพย์พบก็นำยึดใหม่ อีก 5 ปีพบอีกก็นำยึดอีก กระบวนการเหล่านี้ทำได้ตลอด 10 ปี โดยระหว่างนี้ไม่สามารถยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินได้ เพราะอาจเข้าข่ายความผิดทางอาญา ฐานโกงเจ้าหนี้ หรือ หากมีการนำทรัพย์ไปขายต่อ ก็มีความผิดฐานฉ้อฉลต่อเจ้าหนี้ ที่สามารถร้องขอศาลให้การขายต่อนั้นเป็นโมฆะได้ ซึ่งกรมบังคับคดียืนยันว่า ได้เคยดำเนินการในลักษณะนี้มาแล้วกว่า 50 ปี" นายวิษณุ กล่าว

“สืบทรัพย์ได้เท่าไหร่ก็ยึดเท่านั้น ที่เหลือค่อยสืบเอา” นี่เองที่ประชาชนกำลังจับตาว่า จะได้สักเท่าไหร่

ฉบับก่อนผมสืบทรัพย์นายบุญทรงมาได้แค่ 15-17 ล้านบาท แต่รัฐฟ้องเรียกค่าเสียหายให้ชดใช้ 1,770 ล้านบาท
วันนี้ขอพาคุณผู้อ่านมาตามล่าทรัพย์นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ที่มีการเรียกชดใช้ความเสียหาย 2,300 ล้านบาท

นายภูมิ เข้ารับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ 10 สิงหาคม 2554 แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 43,762,458 บาท พ้นจากตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ เมื่อ 27 สิงหาคม 2555 แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 44,652,578 บาท พอพ้นจากตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ครบ 1 ปี เมื่อ 26 สิงหาคม 2556 แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 41,486,116 บาท

นายภูมิ แจ้งสถานะว่า สมรสกับนางอรอนงค์ สาระผล ครู คศ.2 วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น จ.ขอนแก่น มีบุตร 2 คน น.ส.ภณิดา สาระผล และ นายภพพล สาระผล

ข้อมูลที่แสดงฐานะของนายภูมิที่แจ้ง ป.ป.ช. ล่าสุด พบว่า มีรายได้ทั้งหมด 4 ล้านบาท เป็นของนายภูมิ 2.4 ล้านบาท เงินฝากประจำครบกำหนดถอนคืน 1 ล้านบาท เงินสลากออมสินพิเศษกำหนดถอนคืน 5 แสนบาท ถอนเงินจากบัญชี 6 แสนบาท ขายที่ดนสิ่งปลูกสร้าง 3.5 ล้านบาท

นางอรอนงค์มีรายได้ 1,565,006 บาท มีรายจ่ายทั้งหมด 2.6 ล้านบาท เป็นของนายภูมิ 2.18 ล้านบาท นางอรอนงค์อีก 4.2 แสนบาท

มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 39,377,047 บาท เป็นของนายภูมิ 26,441,538 บาท แยกเป็นเงินสด 1 แสนบาท, เงินฝาก 2,281,538 บาท เงินลงทุน 1 ล้านบาท ที่ดิน 14,050,000 บาท โรงเรือน 5.6 ล้านบาท, ยานพาหนะ 1,770,000 บาท, ทรัพย์สินอื่น 1,640,000 บาท

เป็นทรัพย์สินของ นางอรอนงค์ 12,935,508 บาท เงินสด 2.5 แสนบาท, เงินฝาก 3,430,508 บาท, เงินลงทุน 1 ล้านบาท, ที่ดิน 2,790,000 บาท, โรงเรือนฯ 2.3 ล้านบาท, ยานพาหนะ 2,715,000 บาท, ทรัพย์สินอื่นฯ 4.5 แสนบาท

บ้านเลขที่ 33/3 ม. 3 ต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ของนายภูมิ หากคำนวณราคาบ้านพร้อมที่ดิน ตามที่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินจะอยู่ที่ 3,250,000 บาท

ทั้งนายภูมิ และ นางอรอนงค์ แจ้งว่า ไม่มีหนี้สิน ดังนั้นหากจะยึดทรัพย์นายภูมิก็คงได้เพียงแค่นี้

อย่างไรก็ตามคดีจีทูเจี๊ยะ นอกจากนายบุญทรง และพวก ซึ่งเป็นนักการเมืองและข้าราชการ จะเจอฟ้องอาญา และคำสั่งทางปกครองยึดทรัพย์แล้ว ในส่วนของเอกชนที่สมคบคิดกระทำผิดร่วมกัน ก็ถูกยึดทรัพย์ไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559 พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้ยึดทรัพย์กลุ่มบริษัท สยามอินดิก้า และบริษัท สิราลัย ที่เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทกีธา และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" รวมทั้งสิ้น 662 รายการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาทไปแล้ว 1 ครั้ง

ที่เหลือยังลุ้นระทึกในฤทัย...กันทั้งสิ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,238 วันที่ 23 - 25 กุมภาพันธ์ 2560