Well-being Leader

02 ต.ค. 2559 | 00:00 น.
การโลดแล่นในการปรับตัวเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ที่ซับซ้อนขึ้นจำเป็นที่จะต้องมีพลังของความแข็งแกร่งในการยืนหยัดต่อสู้ในการทำงานยาวนานขึ้น ต้องมีพลังในการนำทีมงานที่จะโลกแล่นในการเปลี่ยนแปลงที่เข้มข้นขึ้น การสร้างสุขภาวะทางกายและใจของผู้นำหรือที่เราเรียกว่า Well-being Leader ให้พร้อมรับกับสถานการณ์ต่างๆที่ถาโถมเข้ามาจำเป็นต้องการกระบวนการที่มี 6 มิติ H-E-A-L-T-H-Y นั่นก็คือ

H-Healing

การสร้างการชาร์จพลังในการทำงานให้เต็มเปี่ยมมีความกระปรี้กระเปร่าเป็นความสามารถที่สำคัญของผู้นำสายพันธุ์ใหม่ ปกติแล้วเวลาที่เราไม่สบายอย่างเช่นมีดบาดเราจะมีความสามารถในการสมานแผลให้กลับมาใหม่เหมือนเดิมได้ ความสามารถนี้เป็นความสามารถที่มนุษย์ทุกคนมี แต่บางคนจะมอบความสามารถนี้ให้อยู่ในมือหมอเพื่อให้หมออนุญาตให้เราหายได้แทนที่เรามีความเชื่อว่าเรารักษาตัวเราเองได้

Self-Healing เป็นความสามารถของผู้นำที่เป็นเสมือนหมอรักษาตัวเองได้ ความเชื่อของความสามารถนี้จะทำให้เราสามารถ สร้าง รักษาให้ระดับพลังงานในตัวเราให้สูงอยู่ตลอดเวลา เคล็ดลับตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะต้องรู้จักที่จะสร้างพลังของต่อมสุขใจให้เป็นพลังบวกในการเดินทางและหลีกเลี่ยงพลังของต่อมเครียดที่ทำให้เราสูญเสียพลังดีๆในตัวเราอย่างง่ายดาย

ผู้นำบางท่านสร้างความสามารถนี้เป็นเสมือนพลังพิเศษที่ยกระดับพลังงานให้ตัวเองและทีมงานที่ความมุ่งมั่นในการก้าวไปสู่ความสำเร็จด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา ทุกก้าวที่เดินไปสู่ความสำเร็จจะเป็นเสมือนการเติมพลัง การชาร์จพลังเพิ่มมากขึ้นในตัวเองและทีมงาน

ถ้าต้องเลือกระหว่างผู้นำที่ป่วยกระเสาะกระแสะไม่สบายอยู่เป็นนิจกับผู้นำที่มีพลังกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังทำตัวเหมือนเป็นแท่นชาร์จพลังที่มีกำลังเหลือเฟือที่สามารถยกระดับพลังให้กับทีมงานได้อย่างต่อเนื่อง เราคงไม่ลังเลที่จะเลือกผู้นำแบบหลังที่เรียกว่า Well-being Leader แน่นอน หลายครั้งที่เราคงเห็นตามข่าวบ่อยๆ ว่า ผู้นำแบบ Well-being เหล่านี้ถ้าย้ายไปที่ไหนก็มักจะมีทีมงานตามไปทำงานด้วยทุกแห่งไป หลายคนที่ติดตามไปมักจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "Well-being Leader จะรู้จักต่อมพลังของเราได้ดีกว่าที่เรารู้จักต่อมพลังของตัวเราเองซะอีก"

E-Exercise

การออกกำลังกายเป็นอาวุธที่สำคัญของผู้นำสายพันธุ์ใหม่ที่จะเติมพลังของความแข็งแกร่งให้กับชีวิตและจิตใจ มุนษย์เราต้องการจิตใจที่นิ่งแต่ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการพลังงานที่ Flow ในตัวเองตลอดเวลา

ผู้เขียนเคยไปเดิน Trekking ที่เทือกเขาหิมาลัยโดยเฉพาะหมู่บ้านต่างๆที่จะเป็นเส้นทางขึ้นยอดเขา Everest ที่น่าแปลกใจก็คือเส้นทางสายนั้นต้องเดินอย่างเดียวไม่มีพาหนะอย่างอื่นทำให้ชาวบ้านพื้นที่ต้องเดินเป็นกิจวัตรเป็นระยะทางไกลๆ ปรากฏว่าโรงพยาบาลประจำหมู่บ้านไม่ค่อยมีคนเจ็บป่วยที่เป็นคนพื้นเมืองแต่มักจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติซะเป็นส่วนใหญ่

การเดินเป็นการออกกำลังที่ง่ายที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอายุยืนเป็นอันดับต้นๆของโลกและที่น่าสนใจคือคนในประเทศญี่ปุ่นเดินวันหนึ่งอยู่ในระหว่าง 5,000 -10,000 ก้าวทำให้เกิดความแข็งแรงทางร่างกายโดยไม่รู้ตัว เด็กๆทุกคนต้องเดินเท้าจากบ้านไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านทุกวันและเป็นที่น่าสนใจว่าโรงเรียนในญี่ปุ่นมักจะให้เด็กออกกำลังในการเล่นตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อทำให้เป็นการชาร์จพลังยามเช้าก่อนที่จะเข้าสู่สาระในการเรียนรู้ทั้งวัน

การวิ่ง การขี่จักรยานก็กลายเป็นเทรนด์ของผู้นำรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบของการใช้ Lifestyle ของการผสมผสานที่มีสุขภาวะของการออกำลังอยู่เสมอๆเป็นประจำ ผู้เขียนเคยเป็นที่ปรึกษาขององค์กรชั้นนำองค์กรหนึ่ง ขณะที่ CEO นั่งประชุมอย่างเคร่งเครียดกับผู้บริหารระดับสูงปรากฏว่าท็อปทีมท่านหนึ่งก็เส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิตในที่สุด

CEO ท่านนั้นจึงวางเป็นนโยบายด้านสุขภาพขึ้นมากลายเป็น KPI ด้าน Leadership maturity fitness โดยเฉพาะด้านร่างกายจะต้องมีการออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที และใครจะได้คะแนนแต้มพิเศษถ้าสามารถวัดได้ว่าออกกำลังวนช่วง Zone 60-80% Max Heart เพราะจะทำให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มขึ้น ซึ่งปรากฏว่าหลังจากนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ ผู้บริหารเจ็บป่วยน้อยลง งบในการรักษาพยาบาลน้อยลง และผู้บริหารมีพลังในการทำงานมากขึ้น

ในคราวหน้าเราคงจะมาดูอีก 4 ตัวที่เหลือของคำว่า H-E-A-L-T-H-Y นะครับ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,196
วันที่ 29 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559