TSRL สวนกระแสออนไลน์ ขยายทีมขายตรง

21 มิ.ย. 2564 | 08:26 น.

TSR รุกธุรกิจใหม่ เปิดตัวบริการ “ผ่อนสบายโมบาย” ระบบขายตรง ไม่ผ่านออนไลน์หันขยายฐานต่างจังหวัด พร้อมกระจายความเสี่ยงจับธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ฝ่ามรสุมโควิด-19

นายสยาม อุฬารวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเอสอาร์แอล จำกัด หรือ TSRL เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวบริการ “ผ่อนสบายโมบาย” ซึ่งเป็นระบบขายตรง ไม่ได้ผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะนี้ให้บริการ 7 สาขาทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่สินเชื่อเช่าซื้อ TSRL ครอบคลุม ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิเช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์

หรือ ธุรกิจ SME อาทิเช่น ตู้แช่เย็น เครื่องทำน้ำแข็งยี่ห้อ Alpine ซึ่งบริษัท อัลไพน์ วอร์เตอร์ เป็นบริษัทร่วมทุนของ TSR ที่เปิดตัวในปี 2563 และในปัจจุบัน TSRL ได้ขยาย port ไปยังสินเชื่อมีหลักประกันเพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ รถบรรทุก เป็นต้น

TSR มองว่า แพลตฟอร์มออนไลน์นั้นให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าในเงื่อนไขว่าลูกค้าต้องเข้าใจสินค้าเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น เพียงร้านเสนอราคาที่ถูกที่สุดก็จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้ แต่เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นแตกต่างออกไป หากจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาหลักหมื่นขึ้นไป ลูกค้าทั่วไปจะต้องการสอบถามว่าฟีเจอร์การทำงานต่างๆ เป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ TSR จึงเสนอว่าควรมีทั้งพื้นที่ออนไลน์และพื้นที่ออฟไลน์ ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมลูกค้าเข้าสู่การบริการ

“ลูกค้ามีความต้องการมาที่ออนไลน์ เสร็จแล้วจะเป็นลักษณะ online to offline คือเรามีทีมออฟไลน์ที่ไปหาลูกค้าและติดตั้งเสร็จ ดังนั้น ถามว่าออฟไลน์ควรจะมีไหม มันต้องมีจุดเชื่อมตรงนี้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็คงจะเหมือนร้านออนไลน์ทั่วไป”

อีกปัจจัยที่สำคัญ คือ TSRL เป็นธุรกิจเงินผ่อน หากขาดบริการออฟไลน์และไม่สามารถเห็นตัวตนของลูกค้าได้ บริษัทก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสียสูง ดังนั้น การรู้ที่อยู่ของลูกค้าจึงสำคัญ เพราะหากมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายลูกค้าหรือฝ่ายบริษัท ก็สามารถที่จะติดตามผลได้

ย้อนกลับไปตอนโควิดระลอกแรก ช่วงล็อคดาวน์เมื่อเดือนเมษายนปี 2563 ผลกระทบที่ TSRL ได้รับคือมีการเก็บเงินลูกค้าล่าช้าไปประมาณ 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ถือว่าบริษัทฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี เพราะพอผ่านพ้นไปช่วงเดือนพฤษภาคม อัตราการเก็บเงินลูกค้าก็กลับมาในระดับเกือบปกติ

“ผมว่าเนื่องจากสินค้าของเราเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่าค่าผ่อนต่องวดค่อนข้างที่จะไม่สูงมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 800-1,000 กว่าๆ ทำให้การที่ลูกค้าจะผิดนัดชำระหนี้จะไม่ค่อยเยอะเท่าไร ยกเว้นลูกค้าจะขอยืดหนี้หรือไม่ชำระ เราก็อนุโลมไป”

ส่วนมาตรการรับมือโควิด นายสยาม เผยว่า บริษัทพยายามควบคุม NPL รวมธุรกิจ ให้ไม่เกิน 5% กลั่นกรองคุณภาพของลูกค้าโดยใช้พนักงานตรวจสอบ รวมทั้งตรวจสอบเครดิตบูโรกับ NCB ด้วย ทั้งยังกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายพอร์ตสินเชื่อผู้ประกอบการ เนื่องจากลักษณะของลูกค้าและรูปแบบธุรกิจทำให้ TSRL มองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าด้วย เรามองว่าไม่มีผู้ประกอบการคนใดอยากให้สินค้าที่ใช้ประกอบธุรกิจถูกยึด ซึ่งต่างจากลูกค้ากลุ่มครัวเรือนทั่วไป เพราะเป็นการสร้างหนี้แบบไม่ก่อให้เกิดรายได้ นำสินค้าไปใช้เพื่อความสะดวกสบายเพียงเท่านั้น

นอกจากนี้ TSRL ยังเริ่มทดสอบเปิดให้บริการสินเชื่อแก่ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ (Floor plan) เพิ่มในปีนี้ ซึ่งบริษัทเห็นว่ามีความเสี่ยงต่ำเพราะลูกค้าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีทุน  โดยจะปล่อยสินเชื่อแก่ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจประมูลรถและนำมาจัดจำหน่ายต่อ

การปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เป็นจิ๊กซอว์ตัวต่อไปที่นำไปสู่การปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าที่มาซื้อรถยนต์จากผู้ประมูลอีกทีหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นบริการครบวงจรคือปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประมูล แล้วจึงพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้สินเชื่อรายย่อย ทั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ TSRL ต้องการกระจายความเสี่ยง
 

เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ก็ได้รับผลกระทบเพียงช่วงล็อคดาวน์ที่ผู้คนกำลังแตกตื่นเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลับมาฟื้นตัวตามปกติ TSRL มองว่าหากเก็บค่าผ่อนไม่สูงมาก อัตราการผิดนัดชำระหนี้หนี้ก็จะต่ำ นอกจากจะช่วยผู้ประกอบการ SME แล้ว ลูกค้าก็จะผ่อนต่อเพราะเป็นสินค้าที่ต้องใช้ประกอบอาชีพหารายได้ในช่วงวิกฤตโควิด อย่างไรก็ตาม หากเกิดหนี้เสีย บริษัทก็มีมาตรการรองรับ ด้วยการยึดสินค้าและนำมา resale ใหม่

ปัจุบัน TSRL กำลังพยายามขยายธุรกิจและสร้างรายได้จากธุรกิจนี้เพื่อส่งยอดให้บริษัทแม่อย่าง TSR  ในปี 2563 TSRL สามารถทำกำไรร่วม 12 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตที่บริษัทกำลังจับตามอง

“พอร์ตปีที่แล้ว เราอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท ในปีนี้ ประมาณ 5 เดือน เราโตขึ้นเป็นประมาณ 250 ล้านบาท ได้”ส่วนจะขยายไปสู่การเป็น non-bank หรือไม่ นายสยาม มองว่า TSRL ตอบโจทย์ micro finance มากกว่า จึงไม่เหมือนสถาบันการเงินที่พยายามเข้าสู่สินเชื่อ nano finance และ pico finance ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก หากควบคุมไม่ได้ บริษัทก็จะไม่สามารถทำกำไรได้หรือมีหนี้เสียในที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: