ภายใต้การประกาศใช้พระราชกำหนด (พรก.) ฉุกเฉินของรัฐบาลมีผลทำให้สถานให้บริการต่างๆต้องปิดกิจการลงชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) โดยอาชีพหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการก็คือ ร้านตัดผม หรือร้านเสริมสวย
เจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ต้องการให้รัฐบาลผ่อนคลายกฏเกณฑ์ให้ร้านกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม เนื่องจากที่ผ่านมาหลังจากที่ต้องปิดกิจการชั่วคราวไป ตนไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่ยังมีรายจ่ายที่ยังต้องจ่ายตามปกติให้กับพนักงานในร้าน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้สรุปว่าจะปรับลดเงินเดือนของพนักงานลงเท่าไหร่ เพื่อช่วยกันประครองธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้ โดยมีการช่วยเหลือด้วยการให้เบิกเงินเดือนล่วงหน้าได้
“ตอนนี้ตนยังไม่ได้สรุปว่าจะปรับลดเงินเดือนพนักงานลงเท่าใด เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ว่าสิ้นเดือนนี้รัฐจะผ่อนคลายเกณฑ์ให้กลับมาเปิดให้บริการได้หรือไม่ โดยหากยังต้องปิดต่อแล้วเปิดให้บริการได้เดือนมิถุนายนก็คงจะลำบากหนัก โดยเฉพาะพนักงานในร้านซึ่งบางคนมีการทำประกันสังคม ทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาแต่อย่างใด ขณะที่บางคนไม่มีประกันสังคมก็ยังมีเงินเยียวยาจากกระทรวงการคลังเข้ามาช่วยได้บ้าง ขณะที่โดยส่วนตัวเองก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่หากยังต้องปิดให้บริการต่ออีกนานก็คงแย่ไม่แตกต่างกัน”
ทั้งนี้ ยอมรับว่าเป็นห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นกัน แต่ทางร้านเองก็จะต้องมีมาตรการในการป้องกันอย่างเต็มที่ตามที่กระทรวงสาธารณสุข หรือที่ภาครัฐกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่หน้ากากอนามัย การวัดอุณหภูมิร่างกาย การมีเจลแอลกอฮอล์ไว้ล้างมือ Face shield และการทำความสะอาดอุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังให้บริการ โดยจะต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติที่เคร่งครัดทั้งผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการ
อย่าไรก็ดี หากรัฐยังไม่ผ่อนเกณฑ์และยังคงให้ปิดกิจการต่อในเดือนพฤษภาคม ตนอาจจะต้องกลับมาทบทวนแผนธุรกิจใหม่อีกครั้ง เพราะเวลานี้ตนได้ขอให้พนักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครต่อ ทั้งที่พนักงานต้องการเดินทางกลับไปอยู่ที่ต่างจังหวัด เพราะไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากในกรุงเทพฯได้
“ทุกคนต่างก็กลัวติดเชื้อโควิด-19 ด้วยกันทั้งนั้น แต่ด้วยภาระค่าใช้จ่ายและรายได้ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน และการได้รับการช่วยเหลือที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้ทุกคนเองก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีรายได้มาประครองชีวิตให้สามารถอยู่รอดได้”
เจ้าของร้านตัดผมชาย (บาร์เบอร์) แห่งหนึ่ง กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ต้องการให้รัฐฯผ่อนคลายเกณฑ์เพื่อให้กลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม เพราะที่ผ่านมาตนไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่ยังมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม หรืออาจจะมากกว่าในการซื้ออุปกรณ์ป้องกันตนเองจากการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะต้องอยู่บ้านตลอด หากยังต้องปิดกิจการต่อไปอีกในเดือนพฤษภาคมคงจะลำบากมากกว่านี้ แม้ว่าตนเองจะไม่มีพนักงานที่ต้องดูแลก็ตาม
“ตนไม่มีพนักงานที่ต้องดูแล แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีกมากที่ต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว บ้าน ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างที่เป็นรายจ่ายไม่ได้ถูกชะงักลงตามไปด้วย”