“ฟ้า” มาโปรด
แบรนด์สตอรี
กฤษณ์ ศิรประภาศิริ
“WE WILL MEET AGAIN”
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระราชดำรัสพิเศษ “ปลุกขวัญ” ชาวอังกฤษสู้ CORONAVIRUS โรคระบาดที่รุนแรงน่ากลัวในเวลานี้
ถึงมีพระชนมายุกว่า 90 พรรษา หากพระองค์ยังทรง “นิ่ง” และรับสั่งด้วย “ความเข้มแข็ง” สื่อสารด้วย “ถ้อยคำ” และพระราชอัธยาศัยที่ “นุ่มนวล”
“BETTER DAYS WILL RETURN
WE WILL BE WITH OUR FRIENDS AGAIN
WE WILL BE WITH OUR FAMILIES AGAIN
....... WE WILL MEET AGAIN.”
สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงหวังว่า หลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ประชาชนของพระองค์จะได้ภาคภูมิใจที่สามารถผ่าน “วิกฤติ” ครั้งนี้ไปได้ และคนรุ่นหลังจะได้ชื่นชมยินดีว่า
“ชาวอังกฤษ” ยุคปัจจุบันนี้ “แข็งแกร่ง” ไม่แพ้ยุคไหนๆ ชาวอังกฤษที่มีคุณสมบัติ มีระเบียบวินัย สงบนิ่ง มีอารมณ์ขัน และนิสัยผูกมิตร เป็นที่กล่าวขวัญในสากลโลก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเคยตรัสชม “คนอังกฤษ” ในงานเลี้ยงพระกระยาหารคํ่าที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงจัดถวาย
“ในประเทศของหม่อมฉัน คนอังกฤษได้รับการยกย่องนับถือมาก ในแง่ของการเคารพกติกา มีนํ้าใจเป็นนักกีฬา และความแข็งแกร่ง แน่วแน่ไม่หวั่นไหว” (กรกฎาคม 2503)
ราชวงศ์อังกฤษมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชวงศ์ไทยมาช้านาน
ตุลาคม 2538 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทยเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอยู่หัว ของเราในวาระทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
ในงานเลี้ยงพระกระยาหารคํ่าฯ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงขึ้นต้น
พระราชดำรัสว่า ... “SIR, MY BROTHER … เหมือนอย่างที่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงเขียนในพระราชหัตถเลขาถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อกว่า 130 ปีก่อน... “หม่อมฉันขอใช้คำนี้ซํ้าอีกครั้งด้วยความจริงใจยิ่ง...” สมเด็จฯรับสั่ง (“กลางใจราษฎร์” : หกทศวรรษแห่งการทรงงาน)
สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยขณะนี้ ดูเบากว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ใครๆ ก็ชื่นชม “นักรบเสื้อกาวน์” เสื้อขาว แนวหน้าที่ “ต้าน” ไวรัสด้วยความสามารถ เสียสละ ทุ่มเท
นักรบ “สาธารณสุข” ของไทย น่าเชิดชู ยกย่องยิ่งนัก
หากย้อนเวลาศึกษาการพัฒนา “การสาธารณสุข” ของไทย จากสยามประเทศถึงรัตนโกสินทร์ศกปัจจุบัน ก็ต้อง “กราบพระบาท” เจ้านายหลายพระองค์ที่ทรงรักและห่วงใยราษฎร ทรงเสียสละ “เวลา” พระราชทรัพย์ พระวรกาย เพื่อการสาธารณสุข PUBLIC HEALTH ประโยชน์สุขปวงประชา
ย้อนไปไม่ไกลนัก สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช ทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัย HARVARD และ สอบได้ขั้นเกียรตินิยม ทรงดูงานและทรงเจรจากับผู้แทนมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์ เรื่องขอความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาปรับปรุงการศึกษา “ด้านการแพทย์” ของไทย เข้าสู่มาตรฐานระดับอุดมศึกษา
“เจ้าฟ้ามหิดล” ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สนับสนุนให้ “สตรี” ได้เรียนแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นในสมัยนั้น ทรงตรัสตอบด้วย “พระอารมณ์ขัน”ต่อผู้คัดค้าน... อย่างน้อยก็ให้โอกาสเขาได้มีสามีดีๆ”
สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเป็นนักเรียนทุนฯวิชาพยาบาล ณ SIMMONS COLLEGE สหรัฐอเมริกา
29 มิถุนายน 2503 KING BHUMIBOL ทรงให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ THE NEW YORK TIMES เฉกเช่นเดียวกับที่ “เจ้าฟ้ามหิดล” สมเด็จพระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงทำเมื่อ 44 ปีก่อน ทรงยกย่องความไม่เห็นแก่ตัวของพวกมิชชั่นนารีอเมริกัน ... “พวกเขาแนะนำให้เรารู้จักใช้ยารักษาโรค แผนปัจจุบัน และให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ด้วย...”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในการส่งเสริมการฝึกอบรมแพทย์ ฯลฯ
ทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์ ให้ศึกษาค้นคว้าด้านสาธารณสุข ฯลฯ
ปี พ.ศ. 2501 เกิดอหิวาตกโรคระบาดในไทย กินเวลาถึงกว่า 18 เดือนจะควบคุมได้
ผู้ป่วย “ห่า” กินจะมีอาการขาดนํ้าอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในเวลาอันสั้น “นํ้าเกลือ” สมัยนั้นหายาก ต้องนำเข้า ราคาแพง และคุณสมบัติก็ไม่ดีนัก
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้จำนวนหนึ่ง ให้ไปค้นคว้าทำนํ้าเกลือขึ้นมาเองภายในประเทศเป็นครั้งแรก และนํ้าเกลือนั้นก็มีคุณสมบัติอย่างดี ซึ่งสามารถใช้ได้ในราคาถูก ได้มาเป็นรากฐานอุตสาหกรรมนํ้าเกลือทางด้านการแพทย์ จนกระทั่งทุกวันนี้” (ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล)
ปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงก่อตั้ง “ทุนอานันทมหิดล” เพื่อเป็นที่ระลึกแด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มูลนิธินี้มีส่วนบ่มเพาะให้เกิดการพัฒนากลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และผลักดันให้ “ระบบสาธารณสุข” ของไทยก้าวหน้า
ไม่มี “วันนั้น” เราคงไม่มี “วันนี้”
ธ สถิตในดวงใจนิรันดร
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,566 วันที่ 16-18 เมษายน 2563