หลังจากท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ได้ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (เทอร์มินัล2) ลงทุนกว่า 700 ล้านบาทแล้วเสร็จ และใช้เวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมาในการทดสอบระบบการให้บริการ ล่าสุดก็พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม2562 ซึ่งหลังจากพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานในการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ
หลังจากนี้ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ก็ยังมองถึงการขยายศักยภาพของสนามบินในช่วง 5 ปีนี้(ปี2563-2567) เพื่อขยายการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบันที่มีการใช้บริการอยู่กว่า 2 ล้านคนต่อปี เป็น 5 ล้านคนต่อปี ระหว่างรอการส่งมอบพื้นที่ส่วนหนึ่งให้แก่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่อยู่ระหว่างการเปิดประมูล ซึ่งผู้ชนะประมูลจะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 แล้วเสร็จในปี2567 โดยเฟสแรกรองรับได้ 12 ล้านคน
พล.ร.ท.กฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่านับจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ ก็ทำให้มีการขยายตัวของผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อปี2558 ที่มีผู้โดยสารใช้บริการ 1.77 แสนคนต่อปี ล่าสุดขยับมาเป็น 1.99 ล้านคน
โดยปัจจุบันมี 15 สายการบินทั้งเที่ยวบินประจำและเช่าเหมาลำ ทำการบินเชื่อมโยง 33 เส้นทางบินทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมกว่า15,767 เที่ยวบิน ดังนั้นการเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ก็จะขยายศักยภาพของสนามบินได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปีหน้าคาดว่าผู้โดยสารจะขยับเพิ่มเป็น 2.5 ล้านคน หากเทียบกับ อาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ซึ่งเป็นอาคารดั้งเดิม ที่รองรับผู้โดยสารราว 8 แสนคน
หลังการเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินอู่ตะเภา ก็ยังมีแผนจะขยายศักยภาพของสนามบินเพื่อรองรับอนาคต โดยอยู่ระหว่างศึกษาและวางแผนที่จะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่1 อาทิ ปรับปรุงเรื่องความสมบูรณ์ของระบบการเดินอากาศ รองรับเครื่องบินที่จะมาลงจอด ลานจอด หลุมจอดอากาศยาน ระบบเติมน้ำมัน ที่บางอย่างต้องปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีการใช้งานมานานแล้ว ในส่วนของอาคารผู้โดยสารหลังที่2 ขณะนี้ยังมีการใช้งานยังไม่เต็มพื้นที่ ซึ่งหากมีผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น ก็จะปรับวิธีการบริหารจัดการ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์พื้นที่ได้เพิ่มมากขึ้น
“ เรามองว่าไว้ว่าหลังการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่1 เพื่อพัฒนาให้เชื่อมต่อกัน และบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ที่จะเพิ่มการใช้ประโยชน์เต็มพื้นที่ ก็จะทำให้สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารได้3-5ล้านคนในช่วง 5 ปีนี้ ก็จะรองรับการเติบโตได้ต่อเนื่องทันกับการส่งต่อผู้โดยสารให้ไปใช้บริการในส่วนของอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ในโครงการอีอีซี ที่จะแล้วเสร็จในปี2567 ซึ่งเฟสแรกรองรับได้ 12 ล้านคน”
นอกจากนี้ในช่วง 5 ปี ทางสนามบินอู่ตะเภา จะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนกิจกรรมในส่วนที่ช่วยสนับสนุนการให้บริการและพัฒนาสนามบิน โดยยึดหลักการที่ว่าโครงการจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน ภายใต้การบริหารจัดการของสนามบินอู่ตะเภา จะต้องไม่ซ้ำซ้อน หรือไม่ขัดต่อกฏหมายการลงทุนของอีอีซี แต่ต้องช่วยสนับสนุนกัน ให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้นในลักษณะการบริหารจัดการเมืองการบินในภาคตะวันออก
โดยกิจกรรมที่มองว่าจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน อาทิ การซ่อมบำรุงอากาศยานขนาดเล็ก อย่างเครื่องบินเล็กส่วนบุคคลหรือไพเวท เจ็ท เพราะโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานขนาดใหญ่ อยู่ในโครงการอีอีซีอยู่แล้ว รวมไปถึงคลังสินค้าเล็ก เพื่อสนับสนุนในเรื่องของแอร์คาร์โก้ รวมไปถึงกระบวนการนำสินค้าเข้า-ออก สินค้าทัณฑ์บนต่างๆ ที่ในขณะนี้เริ่มต้นที่ 2 คลังสินค้าก่อน พื้นที่หลังละ 2 พันตารางเมตร เป็นต้น
“เราจึงมีเป้าหมายชัดเจนว่าแผนในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภา จะมุ่งสนับสนุนรองรับต่อยอดให้กับอีอีซี เมื่อถึงเวลาของอีอีซี ที่เข้ามารับช่วงไป และเราก็ยังสามารถบริหารจัดการได้ เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งสนามบินอู่ตะเภานอกจากตั้งใจจะสนับสนับนโยบายของรัฐบาล ก็ยังต้องทำใน 2 มิติ คือ ด้านของความมั่นคง และด้านประกอบธุรกิจท่าอากาศยาน ที่จะทำควบคู่กันให้ดีที่สุด แม้จะเป็นสนามบินทหาร แต่เราเปิดกว้างในการทำธุรกิจและเข้าไทยทิศทางของธุรกิจและทิศทางด้านความมั่นคงว่าควรจะเป็นอย่างไร” พล.ร.ท.กฤชพล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับความคืบของการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ก็ยังคงต้องรอผลการพิพากษาคดีของศาลปกครองสูงสุดที่จะเกิดขึ้น ซึ่งทางคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอซอง 2 (ด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ) กล่องที่ 6 ของกลุ่มกิจการค้าร่วมบริษัทธนโฮลดิ้งจำกัด(CP)และพันธมิตร หลังจากศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกฯก่อนหน้านี้