มัลติแบรนด์เดือด เฮ้สตรีทบิวตี้ ดึง CLEWNCO เสริมแกร่ง
ซีโฟร์ โกลบอล ปูพรมรุกตลาดไทย-เทศ เดินหน้ายกคาราวานปั๊มยอดขายต่างจังหวัด เล็งเปิดตัวเว็บไซต์เพิ่มช่องทางขายผ่านออนไลน์ พร้อมใช้เป็นหัวหอกบุกเวียดนาม ก่อนขยายไปกัมพูชา และสวีเดน มั่นใจสิ้นปีโกยรายได้โตกว่า 50%
นางสาวจารุวัลย์ วงศ์เจษฎาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโฟร์ โกลบอล จำกัด บริษัทในกลุ่ม บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) (TAPAC) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านมัลติแบรนด์บิวตี้ “เฮ้ สตรีท บิวตี้” (HEJ Street Beauty) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทมุ่งเน้นการขยายรอบด้านทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเป็นบิวตี้ ไลฟ์สไตล์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากกว่าแค่เครื่องสำอาง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ช้อป ชิล ชาร์ต แชร์” โดยจะทดลองเปิดให้บริการบิวตี้ คาเฟ่ ในเดือนธันวาคมนี้ที่เซ็นทรัล พลาซา โคราช ก่อนที่จะขยายในสาขาอื่นๆ เช่น สีลม เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสร้างให้เกิดบิวตี้ คอมมิวนิตี
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้า บริษัทจะขยายช่องทางการทำตลาดและจำหน่ายผ่านออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยจะเปิดตัวเว็บไซต์ในไตรมาส 1 พร้อมกับการสร้างแบรนด์ “ซีเคร็ท เจ” (Secret J)ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากที่วางจำหน่ายในตลาดครบทั้ง 5 รายการ อาทิ เซรั่ม, โฟม, มาสก์ เป็นต้น ล่าสุดบริษัทยังนำเครื่องสำอางของกลุ่ม คูลแอนด์โค (CLEWNCO) ซึ่งเป็นคอสเมติกส์ มัลติแบรนด์จากประเทศเกาหลี เข้ามาจำหน่ายในร้าน ในรูปแบบ Shop in Shop ของ CLEWNCO แห่งแรก ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
“คูลแอนด์โค เป็นกลุ่มแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ที่ต้องการส่งเสริมและสนับสนุนให้แบรนด์เครื่องสำอางของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพได้ขยายตลาดในต่างประเทศ โดยการเข้ามาของคูลแอนด์โค ในครั้งนี้จะนำแบรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลีราว 26-30 แบรนด์ ทั้งในกลุ่มสกินแคร์ เมกอัพ และแฮร์แคร์ ฯลฯ เข้ามาจำหน่ายให้กับคนไทย”
ขณะเดียวกันบริษัทเน้นการจัดโรดโชว์ “HEJ STREET BEAUTY CARAVAN” ไปในต่างจังหวัดเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าก่อนตัดสินใจขยายสาขา โดยในปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบช็อปและมินิช็อปราว 5 แห่ง โดยช็อปจะมีพื้นที่ 150-250 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 1.5-4 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนมินิช็อป จะมีพื้นที่ 15-30 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 3-5 แสนบาทต่อสาขา ซึ่งในอนาคตบริษัทจะเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ด้วย
โดยในไตรมาสแรกของปีหน้า บริษัทจะเปิดตัวเว็บไซต์ “HEJ STREET BEAUTY” เพื่อขยายช่องทางขายผ่านออนไลน์พร้อมกันทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยบริษัทจะใช้เป็นช่องทางหลักในการขยายตลาดเวียดนาม หลังจากที่ศึกษาพบว่า เป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง การแข่งขันในธุรกิจมัลติแบรนด์บิวตี้ สโตร์ยังไม่รุนแรงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ ไทย ทำให้มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุน พร้อมกันนี้จะเปิดแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในเวียดนาม และขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ให้ได้ 3 สาขาในปีแรก
“เวียดนามถือเป็นบลูโอเชียน เป็นตลาดที่มีศักยภาพ น่าลงทุน ล่าสุดบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในเวียดนามแล้ว และรอเปิดตัวธุรกิจ “เฮ้ บิวตี้” ผ่านช่องทางออนไลน์พร้อมกับในเมืองไทย ก่อนที่จะขยายสาขาเพื่อให้เป็นหน้าร้านและแวร์เฮาส์ ซึ่งที่ผ่านมามีนักธุรกิจเวียดนามสนใจที่จะร่วมลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังกัมพูชา หลังจากที่ศึกษาตลาดและพบว่า เป็นประเทศที่มีการเติบโตต่อเนื่อง มีธุรกิจเกิดใหม่ และมีนักธุรกิจที่สนใจติดต่อขอลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ อย่างไรก็ดีในระยะยาวบริษัทมีแผนเข้าไปเปิดสาขาในประเทศสวีเดนซึ่งเป็น หนึ่งในผู้ร่วมทุนของบริษัทแม่ TAPAC ด้วย”
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 120-150 ล้านบาทสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะมีรายได้ 100 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 50% ขณะที่ในปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 50% จากปีนี้
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,527 วันที่ 1-4 ธันวาคม 2562
