กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

08 พ.ย. 2562 | 14:06 น.

ลาดจีนสำคัญอย่างไร ? หลายคนคงเคยตั้งคำถามนี้กันมากมาย และทำไมต้องไปขายในประเทศจีน  ซึ่งล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสเข้าฟังงานสัมมนา “ปลดล็อกโอกาสสร้างแบรนด์สู่ตลาดจีน” โดยผู้จัดงานครั้งนี้ คือ บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่มาบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดจีนปัจจุบัน รวมทั้งแนะแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยได้รู้กลยุทธ์ พร้อมนำเสนอแนวทางถึงวิธีการนำสินค้าไทยไปจีนอย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างอยู่หมัด!

  กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

นางชฎากร ธนสุวรรณเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในประเทศจีน เปิดเผยว่า ยอมรับว่าการทำตลาดในจีนตอนนี้เริ่มยากขึ้น เนื่องจากพ่อค้ารับหิ้วของจากไทยลดน้อยลงจากการออกกฎหมายใหม่ของประเทศจีนที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจรับหิ้วสินค้าจากต่างประเทศจะต้องลงทะเบียนและเสียภาษี กอปรกับค่าเงินบาทที่แข็งตัว และปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่ยังยืดเยื้ออยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการที่อยากจะเข้าไปสร้างแบรนด์ในจีน เพราะคนจีนยังรักและเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าไทยอยู่เป็นจำนวนมาก

กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

5 กลุ่มสินค้าไทยขายดี

 

ในช่วงที่ผ่านมา AVG Thailand ได้สำรวจช่องทางจำหน่ายสินค้าอีคอมเมิร์ช Tmall พบว่าสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศจีน 5 อันดับแรก คือ 1.ผลิตภัณฑ์จากยางพารา เช่น หมอนและที่นอนยางพารา ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้มียอดจำหน่ายในประเทศจีนกว่า 2,880 ล้านบาท 2.กลุ่มขนมขบเคี้ยว ส่วนใหญ่เป็นผลไม้แปรรูป มียอดจำหน่าย 906 ล้านบาท 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ที่มียอดจำหน่าย 595 ล้านบาท 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มียอดจำหน่าย 468 ล้านบาท และ 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ยาหม่อง กอเอี๊ยะ ที่มียอดจำหน่ายกว่า 34 ล้านบาท

 

นอกจากนี้เทรนด์สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมจากคนจีน คือ  1.ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น นมถั่วเหลืองออร์แกนิค ผลไม้แปรรูปไม่มีน้ำตาล  2.ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ (Healthy) เช่น ที่นอนยางพาราสำหรับเด็ก ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ อื่นๆ  3.สินค้าไทยแบรนด์ใหญ่ในกลุ่มคอสเมติกส์และเครื่องดื่มเอนเนอร์จี้ดริงค์ ที่เริ่มปรับบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยและวางขายในร้านสะดวกซื้อในตลาดต่างประเทศมากขึ้น

 

กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

ศึกษาตลาดก่อนไป

 

ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ช หรือธุรกิจดิจิทัลในประเทศจีนนับว่าเป็นตลาดที่มีการซื้อขายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 7.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการซื้อขายอยู่ที่ 6.98 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรให้ความสำคัญกับตลาดจีนเนื่องจากเป็นตลาดที่มีการซื้อขายที่มีมูลค่าสูง  แต่เบื้องต้นก่อนนำสินค้าไทยไปขายในประเทศจีนผู้ประกอบการควรต้องศึกษาเรื่องการทำการตลาดในประเทศจีนให้ดีก่อน พร้อมทั้งศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคต่างๆให้รอบคอบ เช่น ภาษาจีนที่ใช้เหมาะสมกับพื้นที่ใด วัฒนธรรมการทานอาหาร การนับถือศาสนา เป็นต้น

 

ขณะเดียวกันในปี 2561 ที่ผ่านมาพบว่ามีการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่ายบนสมาร์ทโฟนสูง โดยมีสัดส่วนราว 25% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดที่ช้อปปิ้งผ่านบนสมาร์ทโฟน และแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมหลักๆสำหรับการซื้อขาย คือ Weibo ,  Wechat และ Redbook”

กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

สร้างจุดขายด้วย Brand Identity 

 

นายนันทวัฒน์ ชัยพรแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Nawin Consultant จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ยังเป็นเรื่องสำคัญ  ผู้ประกอบการไทยต้องทำความเข้าใจเรื่อง Brand Identity เพื่อสร้างความแตกต่างและจุดขายให้กับแบรนด์และสินค้า เช่น การสร้างสัญลักษณ์(symbol) ที่ทำให้ผู้บริโภคสะดุดตา ประกอบด้วย แบรนด์ โลโก้  สี  บรรจุภัณฑ์ สโลแกน tagline อื่นๆ พร้อมทั้งลักษณะร้านค้าต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้แบรนด์เกิดการจดจำต่อผู้บริโภคและสร้างความแตกต่าง

กูรูแนะ 4 เคล็ดลับเจาะตลาดจีนให้ปัง!

อาลีบาบา เติบโต 200%

 

นายชนพัฒน์ บุญศิริ ผู้เชี่ยวชาญจาก Alibaba.com เปิดเผยว่า อาลีบาบาปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากอาลีบาบามีจำนวนสมาชิกที่ค้าขายกลุ่ม B2B กว่า 150 ล้านราย และมีการซื้อขายต่อเนื่องกว่า 10 ล้านราย โดยครอบคลุมพื้นที่ 200 ประเทศทั่วโลก และมีผลิตภัณฑ์ซื้อขายมากกว่า 170 ล้านชิ้น  ดังนั้นอาลีบาบานับเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการไทย  นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาอาลีบาบายังเป็นแพลตฟอร์มที่มีการสั่งซื้อเติบโตกว่า 200%

 

“จากข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มของอาลีบาบาทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา พบกลุ่มสินค้าไทย 10 ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ 1.เครื่องดื่มและอาหาร 2.สินค้าทางการเกษตร 3.สินค้าความสวยความงาม 4.เสื้อผ้า 5.เครื่องจักรกล 6.แร่และโลหะผสม 7.สิ่งทอและเครื่องหนัง 8.สุขภาพและการแพทย์ 9.บ้านและสวน 10.ยางและพลาสติก ซึ่งโดยส่วนตัวอยากให้ผู้ประกอบการไทยศึกษาการทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซให้มากขึ้น และสิ่งสำคัญต้องทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์พร้อมกัน”