การประกาศเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศให้เป็น 60:40 จากเดิมที่ในประเทศทำรายได้ราว 70% และต่างประเทศ 30% แน่นอนว่า “กลุ่มเซ็นทรัล” ต้องเดินหน้าขยายการลงทุนให้มากขึ้น สำหรับในเมืองไทยนั้นกลุ่มเซ็นทรัลจะใช้เงินลงทุน 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ไม่นับรวมการเข้าซื้อกิจการหรือเทกโอเวอร์ที่สามารถปิดดีลได้ระหว่างปี เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่ไม่ได้วางงบลงทุนตายตัว เพราะมีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาจำนวนมาก หากบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ก็พร้อมที่จะเดินหน้าเข้าลงทุนไม่ว่าจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเท่าไรก็ตาม
บาทแข็งหนุนลงทุนเร็ว
ล่าสุดการประกาศทุ่มเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทลงทุนใน 3 เมืองท่องเที่ยวใน 3 ประเทศ ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูสที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา ประเทศญี่ปุ่น และห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต เมืองตูริน ที่รีโนเวตใหม่ทั้งหมดพร้อมเพิ่มพื้นที่อีกเกือบเท่าตัว ถือเป็นการตอกยํ้ายุทธศาสตร์ การเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคต จากการที่เตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในเร็วๆ นี้
“ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล บอกว่า ยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ ในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัลได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทแข็งช่วยทำให้การพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้ของธุรกิจในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ในปี 2561 ประกอบด้วย เวียดนาม ยุโรป และมัลดีฟส์ คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่มเซ็นทรัล และจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้าจากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่เข้าไปลงทุน
ไทยเที่ยวยุโรปพุ่ง
“ทศ” ยังบอกอีกว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปจะชะลอตัว แต่ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปทั้งที่อิตาลี เดนมาร์ก และเยอรมนี ยังคงมีการเติบโตที่สดใส โดยมาจากยอดขายจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น 12-20% จากปีก่อน รวมถึงยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยที่ไปช็อปปิ้งตามห้างของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ที่มิวนิก และห้างรีนาเชนเต ประเทศอิตาลี ที่ยอดขายจากนักท่องเที่ยวไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ เติบโตขึ้น 30% และ 50% ตามลำดับ
“ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของลูกค้าไทยยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป คนไทยนิยมไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยแรงจูงใจมาจากราคาสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากไม่มีภาษีนำเข้าและเมื่อค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นทำให้สินค้าและบริการมีราคาถูกลง”
ร่วมทุนผุด 3 โปรเจ็กต์ใหญ่
ดังนั้นการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัลจะมุ่งเป้าตามเทรนด์การท่องเที่ยวโลก (Global Tourism Trend) โดยแต่ละหมุดหมายจะมีความโดดเด่นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น การร่วมทุนกับกลุ่มซิกน่า (SIGNA GROUP) ลงทุนมิกซ์ยูส กลางกรุงเวียนนา บนพื้นที่ 5.8 หมื่นตารางเมตร ใจกลางถนนมาเรียฮิลเฟอร์ สตราเซ แหล่งช็อปปิ้งยอดนิยม ซึ่งที่นี่จะมีทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรมหรูขนาด 150-165 ห้อง พร้อมร้านค้า ร้านอาหาร สวนสาธารณะลอยฟ้า ที่ออกแบบเชื่อมโยงตัวอาคารเข้ากับตัวเมือง ทำให้เชื่อว่าจะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของออสเตรียในอนาคต
ขณะที่การลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัล โดยบริษัทเซ็นทารา เจแปนฯ ถือหุ้น 51% ร่วมทุนกับ Taisei Corporation ถือหุ้น 25% และ Kanden Realty & Development ถือหุ้น 23.5% พัฒนา “โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากา” โรงแรม 5 ดาว สูง 34 ชั้น ขนาด 515 ห้องพักด้วยงบลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท ใจกลางย่านนัมบะ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเมืองโอซากาและภูมิภาคคันไซ ซึ่งเมืองโอซากา ถือเป็นหนึ่งในเมืองหลักและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2562 และแน่นอนว่าที่นี่จะเป็นโรงแรมแลนด์มาร์คใหม่ของโอซากา
อีกหนึ่งโปรเจ็กต์เป็นการปรับปรุงและขยายพื้นที่ขายอีกเกือบเท่าตัวของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต สาขาตูริน หลังจากที่ใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในการเข้าซื้อที่ดินอาคารเมื่อปี 2560 และนำมาออกแบบพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อมุ่งหวังให้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับห้างรีนาเชนเต สาขาโรม และมิลาน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ปั้นเวียดนามบ้านหลังที่ 2
ขณะที่การลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งอนาคตจะเป็นบ้านหลังที่ 2 ของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น ตลอด 5 ปีที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปลงทุน พบว่ามียอดขายเติบโตเฉลี่ย 340% โดยกลุ่มเซ็นทรัลตั้งเป้าหมายที่จะมีร้านค้าทั้งหมดกว่า 753 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.5 ล้านตารางเมตร ใน 57 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2565 จากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 217 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนตารางเมตรใน 37 จังหวัด มีลูกค้ามาใช้บริการกว่า 1.75 แสนคนต่อวัน ดังนั้นจึงเดินหน้าขยายการลงทุนในเวียดนามเต็มที่ ทั้งในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น ทั้งซูเปอร์สปอร์ต, มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ฯลฯ กลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ อาทิ บีทูเอส, เหงียนคิม ฯลฯ ธุรกิจอาหาร อาทิ บิ๊กซี, ลานชีมาร์ท เป็นต้น
รวมถึงศูนย์การค้าเซ็นทรัล ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ต เนอร์ เพื่อขยายการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูสใหม่ สร้างเครือข่ายของธุรกิจศูนย์การค้าสู่ความเป็น “Regional Retail Platform” ในการเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการสำหรับผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคด้วยเส้นทางธุรกิจในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัลยังสดใสและงดงาม
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3520 ระหว่างวันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน 2562