สปท.พลังงานจี้ ตรวจสอบ NGO

05 ส.ค. 2560 | 08:32 น.
สปท.ทิ้งทวนนโยบายปฏิรูปประเทศด้านพลังงานฝาก “อนันตพร” สานต่อ17 เรื่อง เน้นรัฐต้องสำรองนํ้ามันดิบ 30 วัน ใช้งบประมาณ8 หมื่นล้านบาท พร้อมจี้ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาเงินอุดหนุนเอ็นจีโอ ขัดขวางการพัฒนาด้านพลังงาน

นายคุรุจิต นาครทรรพประธานกรรมาธิการขับการเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เปิดเผยว่า สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ(สปท.)ได้เข้าพบพล.อ.อนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนหมดวาระวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อเสนอรายงานของคณะกรรมาธิ การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน 17เรื่อง ให้ทางรัฐบาลสานต่อโดยเฉพาะเรื่องผลการศึกษาการสำรองนํ้ามันเชื้อเพลิงในส่วนของภาครัฐพบว่าปริมาณสำรองที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 30 วัน ซึ่งเพียงพอต่อความมั่นคงด้านพลังงาน จากแผนเดิมที่ทางกระทรวงพลังงานเคยศึกษาไว้ถึง 90 วัน

[caption id="attachment_188724" align="aligncenter" width="503"] พล.อ.อนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พล.อ.อนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน[/caption]

ทั้งนี้ เนื่องจากการสำรองนํ้ามันดิบภาครัฐดังกล่าวเมื่อบวก กับปริมาณสำรองตามกฎหมายของภาคเอกชนอยู่ที่25 วัน แบ่งเป็นปริมาณสำรองนํ้ามันดิบ 6% และสำรองนํ้ามันสำเร็จรูป 1% รวมแล้วจะอยู่ที่55 วัน และแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้นำเข้านํ้ามันจำนวนมาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีการสำรองนํ้ามันมากถึง 90 วันเนื่องจากนํ้ามันดิบในปัจจุบันสามารถนำเข้าจากหลายแหล่งไม่เพียงแต่ตะวันออกกลางเท่านั้น ประกอบกับราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในระดับตํ่า

อีกทั้งงบประมาณที่นำมาใช้ลงทุนสำรองนํ้ามันเพียง8 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงราคานํ้ามันดิบที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล) แต่การดำเนินการไม่จำเป็นต้องทำทีเดียวทั้งหมดอาจดำเนินการเป็นระยะ ซึ่งระยะแรกจะอยู่ที่ 7.5 วัน ใช้เงินลงทุน 2.2 หมื่นล้านบาท, ระยะที่สอง 7.5 วัน และระยะที่สาม15 วัน เพื่อกระจายการลงทุนรวมถึงมีเวลาในการหาพื้นที่การสร้าง/เช่าคลัง ส่วนเงินลงทุนในส่วนนี้จะมาจากงบประมาณ เงินกู้ หรือพันธบัตร

นอกจากนี้ สปท.ยังได้เสนอให้มีการตรวจสอบแหล่งเงินทุนของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์พลังงานชาติ ที่ต้องการให้เอ็นจีโอ มีธรรมาภิบาลเปิดเผยข้อมูลด้านแหล่งเงินทุน วัตถุประสงค์การดำเนินงาน ผลงานที่ผ่านมา รวมถึงควรยกเลิกวีซ่าเข้าเมือง หากพิสูจน์ได้ว่ามีการเคลื่อนไหวหรือดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศซึ่งเอ็นจีโอควรต้องมีความโปร่งใสเช่นเดียวกับภาครัฐที่มีการตรวจสอบมากมายจากหลายองค์กร

โดยพบว่าเอ็นจีโอบางกลุ่มมีการดำเนินงานเกินขอบเขตวุ่นวายและก่อให้เกิดปัญหาต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ การรับฟังความเห็นโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา รวมถึงการเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมหมดอายุเป็นต้น ดังนั้น สปท.จึงไปศึกษาข้อมูลหลายด้านรวมถึงข้อมูลจากต่างประเทศแล้ว เพื่อให้เอ็นจีโอมีความโปร่งใส จึงต้องมีการเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุน วัตถุประสงค์การดำเนินงาน

นายคุรุจิต กล่าวอีกว่านอกจากนี้ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในกระบวนการรับฟังความเห็น โดยต้องให้สัดส่วนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังความเห็นมากกว่าคนนอกพื้นที่โดยควรมีสัดส่วนคนในพื้นที่ถึง 70% ที่เหลือ 10% เป็นตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ อีก10% เป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ และ 10% เป็นนักวิชาการ บุคคลภายนอกเป็นต้น อาจช่วยแก้ปัญหาการล้มเวทีประชาพิจารณ์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นได้

สำหรับประเด็นการเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบ21 ซึ่งล่าช้ามา 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นระบบสัมปทาน ระบบแบ่งปันผลผลิต(พีเอสซี) และระบบจ้างผลิต(เอสซี) ก็ต้องดูความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เมื่อกฎหมายออกมาแล้วก็ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ระบบใดก็ต้องยอมรับ ซึ่งไม่ควรดูเพียงรายได้เท่านั้นแต่ต้องดูถึงการผลิตพลังงานที่ต่อเนื่องด้วย เพราะกำลังการผลิตในอ่าวไทยที่ลดลงย่อมต้องพึ่งพาการนำเข้านํ้ามัน แอลพีจี แอลเอ็นจี และถ่านหิน เพิ่มขึ้น

นายคุรุจิต กล่าวเพิ่มเติมว่ารายงานของ สปท. จำนวน11 เรื่อง และของวิป สปท.อีก6 เรื่อง ซึ่งมีบางเรื่องที่กระทรวงพลังงานเห็นชอบและดำเนินการไปบ้างแล้ว อาทิ พ.ร.บ.กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง, การอนุรักษ์พลังงานโดยใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน(Building Energy Code : BEC)เป็นต้น อย่างไรก็ตามการศึกษาปฏิรูปประเทศด้านพลังงานยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการให้กระทรวงพลังงานสานต่อ โดยสปท.สิ้นสุดวาระตั้งแต่วันที่ 31กรกฎาคม 2560

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,284 วันที่ 3 -5 สิงหาคม พ.ศ. 2560