‘มหาธีร์’ แชร์ทีเด็ดอาเซียน ต้องจับมือกันสู้ “ขืนเดินเดี่ยว เดี๋ยวโดนรังแก”

02 พ.ย. 2562 | 07:15 น.

 

ดร. มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียวัย 94 ปี เป็นแขกรับเชิญพิเศษขึ้นเวทีเสวนาของ ASEAN Business and Investment Summit 2019 (ABIS) ที่จัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม Impact เมืองทองธานีวันนี้ (2 พ.ย.) โดยมีนายอรินทร์  จิรา ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน เป็นผู้ดำเนินรายการ ตอนหนึ่งของการเสวนา ดร.มหาธีร์ หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงสื่อว่า ดอกเตอร์เอ็ม ( Dr M) ได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับความสำเร็จที่ผ่านมาของอาเซียนและการมุ่งหน้ารับมือความท้าทายในบริบทใหม่ๆของโลกยุคปัจจุบันว่า

ดร. มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

อาเซียนจะต้องสามัคคีและก้าวเดินไปด้วยกัน มีจุดยืนเดียวกัน เพื่อให้มีพลังร่วมกันในการต่อสู้หรือต่อรอง “เราต้องแข็งแกร่ง หรือไม่งั้นก็ต้องร่ำรวยมากๆ ถึงจะมีคนฟังในสิ่งที่เราพูด”  ถ้าอาเซียนมีจุดยืนเดียวกัน สิ่งที่พูดก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น โลกจะหันมาฟัง อาเซียนต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันในฐานะภูมิภาคหนึ่งเดียวกัน จะมีพลังมากขึ้น เพราะถ้าแยกออกไปเป็นประเทศเดี่ยวๆ ก็จะต่อสู้ในประเด็นต่างๆได้ยาก  

 

ว่าด้วยเรื่องพลังรวมของภูมิภาค

“มีเพื่อนมากเดินด้วยกัน จะมีพลังมากกว่าเดินเดี่ยว เดี๋ยวโดนรังแก” ผู้นำมาเลเซียกล่าวเปรียบเทียบง่ายๆ พร้อมยกตัวอย่างล่าสุดเกี่ยวกับประเด็นกระแสต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มในอาหารของสหภาพยุโรป (อียู)  ทั้งยังมีมติเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจากน้ำมันพืช โดยอ้างว่า การปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียและมาเลเซียอาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบุกรุกทำลายป่า รบกวนวิถีชีวิตคนพื้นเมืองและทำลายพืชและสัตว์ในป่า ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการส่งออกของมาเลเซีย “ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนดีกับเขาหรอกนะ”  ดร.มหาธีร์กล่าวว่า กรณีนี้มาเลเซียโต้กลับมาตรการของอียู ด้วยการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอียูบางรายการในอัตราสูงขึ้นเช่นกัน แต่การต่อสู้นั้นหากมีประเทศอื่นๆร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซียหรือไทย ก็จะมีพลังรวมที่เป็นมวลมากขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ถ้าเศรษฐกิจของอาเซียนเติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่ไปด้วย เสียงของอาเซียนก็จะมีคนฟังมากขึ้นด้วย

ภาพจากกระทรวงการต่างประเทศ

 

ว่าด้วยเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมและความพร้อมของคน

ในประเด็นที่ว่า อาเซียนพร้อมหรือยังสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 ดร.มหาธีร์กล่าวว่า  อาเซียนมีประชากรมากถึง 650 ล้านคน จีนมีประชากรมากกว่าอาเซียนประมาณสองเท่า แต่อุตสาหกรรมของจีนพัฒนารุดหน้าไปมาก เนื่องจากจีนใช้ประโยชน์จากจำนวนประชากรที่มีอยู่อย่างมหาศาลนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความรู้และการศึกษากับประชาชนว่า เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาททำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไรเป็นสิ่งสำคัญ และจีนก็ทำเรื่องนี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำโลก เช่นอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซ และการนำเทคโนโลยีฟินเทคมาใช้ทำให้เกิดสังคมยุคใหม่ที่ไม่ต้องใช้เงินสดซึ่งได้รับความนิยมเป็นวงกว้างในประเทศจีนและผู้คนทุกระดับสามารถเข้าถึง 

 

“จีนทำได้เร็วเพราะความคิดเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่า มองกลับมายังอาเซียน เราอาจมีความคิดที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งบางทีก็ทำให้ช้า เราต้องคิดใหม่ และลงมือทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากความเคยชินเดิมๆ” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวแสดงความหวังว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมของอาเซียนจะสามารถใช้ประโยชน์จากจำนวนประชากรที่มีอยู่มหาศาล ควบคู่ไปกับการให้การศึกษา ให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยี สร้างธุรกิจจากเทคโนโลยี อย่างเช่นที่พวกมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ทั้งหลายต่างมองเห็นช่องทาง

 

ภาพจากกระทรวงการต่างประเทศ

ว่าด้วยเรื่องการเป็น “ฮับ”และพลังสมอง

ผู้นำมาเลเซียกล่าวว่า ไม่ติดใจหากประเทศสมาชิกอาเซียนจะมุ่งพัฒนาตัวเองเป็น “ศูนย์กลาง” หรือ “ฮับ” (hub) ในด้านต่างๆ อาจจะมองดูเหมือนแข่งกัน แต่เอาเข้าจริงแต่ละประเทศก็ต้องดูจุดแข็งและทรัพยากรที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อที่จะพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางในด้านนั้นๆ หรือเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ แต่ถึงกระนั้นก็มองว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนควรจะร่วมมือกันให้มากขึ้นเพื่อที่จะเติบโตไปด้วยกัน

 

วิสัยทัศน์ในเรื่องสุดท้ายของการเสวนาครั้งนี้คือ เคล็ดลับความแข็งแรงของดร.มหาธีร์แม้จะอยู่ในวัย 94 ปี แต่ก็ยังทำงานบริหารประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเคล็ดไม่ลับที่ดร.มหาธีร์อยากจะแบ่งปันคือ การใช้ชีวิตอย่างมีวินัย และกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน “คุณแม่ของผมบอกว่า ถ้าเจออาหารอร่อยถูกปาก ก็ให้หยุดกินเลย เพราะยิ่งอร่อยคุณก็จะอยากกินมากขึ้นๆ จนเกินความเหมาะสม แล้วก็เป็นโรคอ้วน”  นอกจากนี้ ก็คือการหลีกเลี่ยงการบริโภคแป้งและน้ำตาลมากจนเกินไป ฟังดูง่ายๆ แต่ต้องอาศัยการมีวินัยในตัวเอง ที่เหลือคือการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม “ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ยิ่งต้องแอคทีฟ กระฉับกระเฉง เคลื่อนไหว ไม่ใช่ยิ่งอายุเยอะ ก็ยิ่งนอน กล้ามเนื้อก็จะอ่อนแรง สมองเฉื่อยเนือย”  ดร.มหาธีร์ย้ำว่า ทุกๆวันผู้สูงวัยควรบริหารสมองด้วยการพูด ร้องเพลง ถกประเด็น แสดงความคิดเห็น หรืออาจจะทะเลาะกันบ้าง ก็จะช่วยให้สมองได้ออกกำลัง และห่างไกลคำว่าไร้ประสิทธิภาพอย่างแน่นอน