หมอบุญ มาแล้ว! ประเดิมตั้งศูนย์วิจัย‘กัญชา’ 200 ล้าน

26 ก.พ. 2564 | 19:00 น.

“หมอบุญ วนาสิน” ขยับโครงสร้างธุรกิจ THG ชู 3 ธุรกิจ “แลบ-ถุงมือยาง-กัญชา” หลังรายได้รพ. ลดวูบ เล็ง MOU “จุฬาฯ-เกษตรฯ” ศึกษาวิจัย “กัญชา” ตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า ปลายนํ้า พร้อมทุ่มเงิน 100-200 ล้านบาทตั้งรีเสิร์ชเซ็นเตอร์แห่งแรกในไทย วอนรัฐบาลฉีดวัคซีน 12 ล้านโดสให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว 6 ล้านคนก่อนไฮซีซัน หวังปลุกเศรษฐกิจคึกคัก ต่อลมหายใจผู้ประกอบการ

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์ แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงไม่สดใสเท่าใดนัก โดยมองว่าโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ต่อเนื่องออกไปอีก 4-5 ปี ขณะที่ในปีก่อนผลกระทบจากโควิดทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลมีผลประกอบการลดลงกว่า 20% ดังนั้นนับจากนี้โครงสร้างธุรกิจของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ 4 ธุรกิจได้แก่  1. ธุรกิจแลบ ซึ่งเริ่มต้นในปีที่ผ่านมาและมีผลประกอบการดีทำรายได้หลายร้อยล้านบาท 2. ธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งบริษัทมีแผนใช้เงินลงทุน 3.6 หมื่นล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่รวมกว่า 200 ไร่ มีสายการผลิต 300 ไลน์ ซึ่งปัจจุบันแล้วเสร็จกว่า 80% โดยเฟสแรกลงทุนแล้วกว่า 7,200 ล้านบาท มีสายการผลิต 60 ไลน์จะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในเดือนเม.ย.นี้

“ถุงมือยางเป็นดาวรุ่ง เพราะยังเป็นที่ต้องการทั่วโลก ทำให้ต้องเร่งก่อตั้งโรงงานและผลิต ซึ่งขณะนี้อเมริกาสั่งออเดอร์เข้ามาล่วงหน้าแล้ว 3 ปี และยังมีออเดอร์จากสิงคโปร์ และอีกหลายประเทศ ด้วยคุณภาพที่สูงและราคาที่สมเหตุสมผลทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถคืนทุนได้ใน 8 เดือน”

3. ธุรกิจกัญชาซึ่งบริษัทเข้าสนับสนุนด้านการศึกษาวิจัยตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า และปลายนํ้า เพื่อส่งเสริมงานด้านวิชาการ และสนับสนุนให้เกษตรกรไทยได้มีโอกาสเพาะปลูก เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งกัญชาทางการแพทย์ อาหาร เครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทมีแผน MOU กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในต้นเดือนมีนาคมนี้ เพื่อสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา โดยจะใช้เงินราว 100-200 ล้านบาทในการจัดตั้งศูนย์วิจัย (Research Center) แห่งแรกในประเทศไทย ร่วมกับจุฬาฯ ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาและเพาะปลูกราว 1,400 ไร่ เพื่อศึกษาและพัฒนากัญชาทางการแพทย์ และพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆต่อไป

“ปัจจุบันผมเข้าไปลงทุนศึกษาและพัฒนาที่ประเทศอิสราเอล รวมทั้งเพาะปลูกและแปรรูปเป็นสินค้าจำหน่ายลงทุนในหลายประเทศ อาทิ สวิสเซอร์แลนด์ , สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่อเมริกา ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นอยู่ราว 30% มีทั้งผลิตภัณฑ์ทั้งยาทา ยาดม ยาอม สเปรย์ ยาแปะ (พลาสเตอร์) วางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหลายรัฐ ที่เปิดเสรี”

นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญด้านไอที เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนิว นอร์มอล ไม่ว่าจะเป็นเทเลเมดิซีน ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด รวมทั้งลดการมาใช้บริการภายในโรงพยาบาล ซึ่งการลงทุนด้านไอที เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต

นายแพทย์บุญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมา โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว มีสัดส่วนราว 12% ของจีดีพี และหากนับรวมธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องอาจสูงถึง 15% ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่วันนี้เริ่มฉีดวัคซีนไปแล้วทั่วโลก และจะครอบคลุมถึง 70-80% ของประชากรทั่วโลก จะทำให้หลายประเทศเปิดให้เดินทางได้ โดยเฉพาะจากยุโรป อเมริกาและจีน ซึ่งเป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านี้ คือ ประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งให้เกิดการฉีดวัคซีนกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม บริษัทท่องเที่ยว ฯลฯ ให้ครอบคลุม 70-80% ภายในไฮซีซันนี้

“รัฐบาลต้องให้ความสำคัญและเร่งแผนฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในเบื้องต้นราว 12 ล้านโดส หรือคิดเป็น 6 ล้านคน เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในเดือนพ.ย. 2564-ม.ค. 2565 ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการเหล่านี้จะได้รับผลกระทบหนัก แต่ต้องปิดกิจการไปในที่สุดหลังจากที่ต้องแบกรับภาระมายาวนานต่อเนื่องนับปี”

ที่มา : หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,657 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

เปิดเงื่อนไขประชาชนปลูก‘กัญชา’ รัฐผลักดันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจหลัก

สธ.เปิดสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ศูนย์กลางความร่วมมือด้านกัญชา กัญชง 

โหนกระแส‘กัญชา’ รังสรรค์เมนูเด็ด“พรึบ” ชาวบ้านลุ้นปลูกเสรี

ปลดล็อก 5 ตำรับยากัญชา จากบัญชียาเสพติด ดีเดย์ยื่นขอผลิต 16 ก.พ.นี้

ลุยตั้งสนง.พืชเศรษฐกิจฯ นำร่อง"กัญชา" ชิงเค้กตลาดโลก 30 ล้านล้าน