สมาคมภัตตาคาร ร้านอาหารของสหรัฐอเมริกา (National Restaurant Association หรือ NRA) ได้รายงานข้อมูลผลการสำรวจล่าสุดพบว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 และมาตรการล็อคดาวน์ทำให้ร้านอาหารในสหรัฐฯ ต่าง ประสบปัญหาความอยู่รอดของธุรกิจ และจากผลการสำรวจพบว่า 1 ในทุก ๆ 6 ร้าน ได้ปิดกิจการโดยถาวร และคาดว่าภายในปี 2563 จำนวนร้านอาหารที่จะปิดกิจการถาวรจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย และหากรัฐบาลกลางสหรัฐฯไม่มีเงิน ช่วยเหลือเพิ่มเติม คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะมีร้านอาหารที่ต้องปิดกิจการเพิ่มอีกอีกหลายพันราย โดยผลการสำรวจโดยย่อ มีดังนี้
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ระดับปกติและยอดขายของร้านอาหารลดลงร้อยละ 34
-ในช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ธุรกิจบริการอาหารได้สูญเสียรายได้เป็นมูลค่า 165 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2563 และมีจำนวนพนักงานร้านอาหารร่วม 3 ล้านคนตกงาน
- ร้อยละ 40 ของร้านอาหารไม่แน่ใจต่อสถานะความอยู่รอดของธุรกิจในช่วงอีก 6 เดือนข้างหน้า
- ร้อยละ 60 ของร้านอาหารแจ้งว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารร้านสูงกว่าก่อนที่จะเกิดการระบาดโควิด-19
- ปัจจุบันร้านอาหารส่วนใหญ่สามารถจ้างพนักงานได้เพียง 71 %
- ผู้บริโภคร้อยละ 56 รับรู้ถึงการปิดกิจการของร้านอาหารในชุมชน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต./ทูตพาณิชย์) ณ นครชิคาโก ระบุว่า ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่สองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีการจ้างงาน 15.6 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของแรงงานในสหรัฐฯ โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการว่างงานกว่า 3 ล้านคนในธุรกิจบริการอาหาร
ปัจจุบันร้านอาหารในสหรัฐฯ ได้รับการผ่อนคลายด้านมาตรการควบคุมร้านอาหารสามารถจำหน่ายอาหารได้เพียงบริการ Carry-out และ Delivery รวมไป ถึงการนั่งในร้านได้เพียงร้อยละ 25 ของจำนวนที่นั่งในร้านหรือให้นั่งทานนอกร้าน ยกเว้นบาร์ในบางรัฐที่ยังห้ามจำหน่าย
นักวิเคราะห์ตลาดร้านอาหารคาดว่า ธุรกิจบริการอาหารจะมีรายได้ขั้นสูงประมาณไม่เกิน 550 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือจะสูญเสียรายได้ประมาณ 240-300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าจะมียอดขายขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2564 ประมาณร้อยละ 21 หรือเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนประมาณ 650 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้การคาดหวังของธุรกิจบริการอาหารในอนาคต จะเชื่อมโยงโดยตรงกับความก้าวหน้าทางการแพทย์และวัคซีนการบำบัด โควิด-19 รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ผลกระทบโควิด-19 ต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจร้านอาหารในอนาคต
- การให้บริการแบบลูกค้าบริการตนเอง (Self-service) จะถูกตัดออกไป
- ความต้องการใช้แรงงานในธุรกิจร้านอาหารลดลง เนื่องจากร้านอาหารเลิกกิจการไปจำนวนมาก การเกิดของร้านอาหารใหม่อยู่ในระดับต่ำ ไม่สมดุลกับจำนวนร้านที่เลิกกิจการไป
- การบริการด้านสั่งซื้ออาหารทางออนไลน์ และโมบายแอพ จะเป็นช่องทาง สร้างรายได้ที่เข้ามาทดแทนส่วนที่ให้บริการนั่งทานในร้าน
- การปรับเมนูอาหาร ลดจำนวนรายการที่นำเสนอ ลดรายการไม่ทำเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลดการใช้วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการปรุงอาหาร
- ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งไป (Single Used Packaging) จะเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยและการป้องกัน ให้แก่พนักงานและลูกค้า
สำหรับผลกระทบของโควิด-19 เป็นทั้งอุปสรรคและโอกาสต่อความต้องการสินค้าไทย ซึ่งพบว่าสินค้าไทยที่จำหน่ายในช่องทางธุรกิจบริการอาหารในสหรัฐฯได้รับผลกระทบเล็กน้อยในเชิงลบ เนื่องจากความต้องการซื้อของร้านอาหารลดลง ได้แก่ กุ้งแช่แข็ง ข้าวสาร เครื่องปรุงรส เครื่องแกง กะทิ เส้นก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น อย่างไร ก็ตามความต้องการสินค้าอาหารกลุ่มดังกล่าวกลับไปเพิ่มยอดในตลาดค้าปลีก ตามร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายของชำแทน
ในขณะเดียวกัน โควิด-19 สร้างโอกาสความต้องการสินค้ากลุ่มใหม่ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร Carry-out ได้แก่ กล่องใส่อาหาร ถุงแบบต่าง ๆ และของใช้ด้านสุขอนามัย เช่น ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และน้ำยาทำความสะอาด
ล่าสุด สคต.ชิคาโก ทำการสำรวจจากผู้นำเข้าสินค้าที่จัดส่งเข้าช่องทางธุรกิจอาหาร และร้านอาหารไทยพบว่า ร้านอาหารไทยที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้แก่ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์หรือย่านธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท ต่าง ๆ ยังไม่กลับมาทำงานในออฟฟิศ ในขณะที่ร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนที่ อยู่อาศัย หรือตั้งอยู่ในชานเมืองจะมีธุรกิจดีจากการขายแบบ Carry-out, Curveside pickup และ Delivery
ข่าวที่เกี่ยวข้อง