เอสซีจี รุกหาโอกาสทางธุรกิจยุค New normal

09 ส.ค. 2563 | 03:30 น.

ผู้นำองค์กร “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี นำทัพพนักงานกว่า 5 หมื่นคน ก้าวข้ามวิกฤตด้วยการปรับตัวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ จนทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2563 ของเอสซีจีมีผลกำไรเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า การจัดวางสมดุลระหว่างความเป็นอยู่ของคนกับภาคธุรกิจ คือวิธีคิดการบริหารธุรกิจภายใต้แรงกดดันในภาวะวิกฤตของแม่ทัพใหญ่ โดยมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Management-BCM) รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ พร้อมกับแสวงหาโอกาสจากความต้องการใหม่ ๆ ในตลาด หลังจากที่ผู้บริโภคเริ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการสั่งอาหารและซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ รวมถึงความใส่ใจดูแลสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น

วิกฤต 3 เดือนที่ผ่านมากระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคน รวมทั้งภาคเศรษฐกิจทั้งโลกแทบหยุดชะงัก เอสซีจีได้เตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Prepare for the Worst) เช่น การเตรียมการขายและการขนส่งล่วงหน้า หากมีการปิดเมือง และวางแผนหาโอกาสทางธุรกิจที่เข้ามาได้ทุกเมื่อ (Plan for The Best) เช่น การปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) มาใช้ ซึ่งในส่วนนี้ เอสซีจีได้ปรับและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาแล้วอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทันท่วงที และทำให้ตระหนักว่า ความพยายามในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์มเมชันของเอสซีจีมาถูกทาง และยิ่งต้องทำต่อให้เร็วและเข้มข้นมากขึ้น

เอสซีจี รุกหาโอกาสทางธุรกิจยุค New normal

นอกจากนี้ เอสซีจียังปรับกลยุทธ์ 3 กลุ่มธุรกิจ เริ่มจากการการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ถือเป็นธุรกิจที่มีโดดเด่นและมีโอกาส เอสซีจีจึงสร้างโอกาสเติบโตด้วยการขยายธุรกิจด้วยและการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) ร่วมกับ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. ผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย และ Visy Packaging (Thailand) Limited รวมถึงการวางแผนการลงทุนขนาดใหญ่ใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ในเวียดนาม ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างฐานให้แข็งแกร่งรองรับการเติบโตครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน 

ในขณะที่อีกหลายธุรกิจต้องดำเนินงานด้วยความท้าทายท่ามกลางสภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธุรกิจเคมิคอลส์ ได้พลิก “วิกฤตเป็นโอกาส” ด้วยการดูแลความปลอดภัยให้แก่ทั้งพนักงานและลูกค้า ตลอดจนการควบคุมคุณภาพและความสะอาดของวัตถุดิบและสินค้า ขณะเดียวกัน ก็บริหารจัดการสินค้าให้มีความยืดหยุ่น จึงทำให้สามารถเดินหน้าการผลิตได้อย่างเต็มที่ และตอบสนองกับความต้องการของตลาดที่ต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์สำหรับการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนทั่วโลกได้อย่างทันต่อสถานการณ์ ในขณะที่ความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลง

เอสซีจี รุกหาโอกาสทางธุรกิจยุค New normal

สำหรับธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่แม้ต้องเผชิญกับภาวะที่อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว แต่เอสซีจีได้ปรับรูปแบบการนำเสนอสินค้า บริการและโซลูชัน ด้วยการเชื่อมต่อช่องทางออนไลน์ SCGHOME.COM กับเครือข่ายร้านค้าของ SCG HOME ทั่วประเทศในรูปแบบ Active Omni-channel เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้สามารถสอบถาม ขอรับคำปรึกษา และเลือกซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง รวมทั้งนำเสนอแพลทฟอร์มเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าเจ้าของบ้าน ทำให้การสร้างบ้านไม่สะดุดแม้ในช่วงโควิด-19 อีกทั้งเอสซีจียังได้เข้าไปเชื่อมต่อการบริการโซลูชันงานโครงสร้างให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายย่อย (SMEs) ภายใต้บริการ “CPAC Smart Structure” ช่วยลูกค้าลดต้นทุนการก่อสร้าง ทั้งยังเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

รุ่งโรจน์ เพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องวิเคราะห์ว่า ธุรกิจของเรามาถึงจุดไหน ผลกระทบที่เกิดกับเราต่างจากคนอื่นอย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไร ผลกระทบกับอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ซึ่งการตอบสนองของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน หากเปรียบวิกฤตก็เหมือนกับพายุ เมื่อเจอพายุ เราต่างอยู่บนเรือคนละลำ อยู่กันคนละกลุ่มอุตสาหกรรม จะเอาแนวปฏิบัติหนึ่งไปแก้ปัญหาอีกสิ่งหนึ่งไม่ได้ จึงต้องหาโซลูชันของตัวเอง ต้องมีการวางแผนเรื่องเวลาและการลงมือปฏิบัติให้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์

เอสซีจี รุกหาโอกาสทางธุรกิจยุค New normal

เอสซีจีได้เร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 จำนวน 31 นวัตกรรม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี โดยได้เชื่อมโยง 125 เครือข่าย ให้เป็นผู้สนับสนุนและกระจายความช่วยเหลือไปยัง 847 โรงพยาบาลและหน่วยงานทั่วประเทศ ได้อย่างรวดเร็วทันต่อความต้องการของสังคมในช่วงที่สถานการณ์กำลังวิกฤต