”คมนาคม” เตรียมดันญี่ปุ่นเดินทางเข้าไทย

10 ก.ค. 2563 | 09:58 น.

“คมนาคม” หารือ ญี่ปุ่น เตรียมมาตรการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศ ยึดมาตรการสาธารณสุขเป็นหลัก คาดได้ข้อยุติภายในสัปดาห์หน้า

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  เปิดเผยภายหลังการให้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเข้าพบว่า ได้หารือเกี่ยวกับการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศทั้งทางอากาศและทางน้ำ เนื่องจากมีกลุ่มนักธุรกิจญี่ปุ่นได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ว่าต้องการเดินทางเข้ามาดูแลธุรกิจที่มีอยู่ในไทย แต่ติดปัญหาไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะรัฐบาลไทยมีเงื่อนไขเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าการเดินทางเข้ามาจะต้องผ่านการตรวจคัดกรองตั้งแต่ต้นทาง แต่รัฐบาลญี่ปุ่นมีเงื่อนไขว่าจะตรวจคัดกรองไวรัสโควิด-19 ให้กับคนป่วยเท่านั้น จึงเป็นความยากลำบากที่จะดำเนินการในการเดินทางมายังไทย

 

ทั้งนี้ได้ชี้แจงว่าหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ของไทยก็จะไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะหากพบผู้ติดเชื้อจะเป็นภาระทั้งกับผู้เดินทางและสายการบินที่นำเข้ามา เนื่องจากกฎหมายสาธารณสุขเรื่องการควบคุมโรคติดต่อก็ระบุเรื่องความรับผิดชอบไว้  ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นก็เข้าใจหลักการนี้ดี และมีข่าวดีว่าภายในสัปดาห์หน้าจะได้ข้อยุติ และจะสามารถเริ่มเปิดดำเนินการเดินทางระหว่าง 2 ประเทศได้เมื่อไหร่

นายศักดิ์สยาม  กล่าวต่อว่า เบื้องต้นจะต้องปฏิบัติภายใต้ข้อตกลงตามมาตรการสาธารณสุขของไทยว่าเดินทางเข้าเข้ามาแล้วจะไม่มาแพร่ระบาดในไทย มีการตรวจคัดกรองจากต้นทางและต้องซื้อประกันไวรัสโควิด-19 มูลค่า 1 แสนเหรียญสหรัฐ ในกรณีที่เดินทางเข้ามาถึงไทย หากคัดกรองแล้วพบว่ามีเชื้อจะไม่เป็นภาระกับรัฐบาลไทยจากนั้นจึงไปขอวีซ่า และออกบัตรโดยสารได้ ที่สำคัญยังมีมาตรการเฝ้าระวังเรื่องการต่อเครื่องด้วย ซึ่งหากทุกคนมีความเข้าใจและดำเนินการอย่างเคร่งครัดก็จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งนี้หากมีความชัดเจนกับญี่ปุ่นและดำเนินการได้สำเร็จก็จะใช้เป็นมาตรฐานต้นแบบในการให้ประเทศอื่นเดินทางเข้ามายังไทยได้  ซึ่งขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศก็อยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการเดินทางเข้าไทยกับหลายประเทศเช่นกัน เพราะไทยเปิดให้สายการบินทั้งโลกเข้ามาในไทยได้หมดแล้ว แต่ต้องยึดมาตรการสาธารณสุข อย่างเข้มงวดเท่านั้น

 

ที่ผ่านมาการทำงานของรัฐบาลไทยสามารถป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอันดับ 2 ของโลก และทำให้ได้รับการคาดการณ์จากองค์กรระหว่างประเทศว่าไทยมีโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้เป็นอันดับ 2 ของโลกเช่นกัน แต่จะประสบความสำเร็จได้ต้องยึดมั่นมาตรการสาธารณสุขจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกัน

“ขณะเดียวกันได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตและสถานีกลางบางซื่อ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า)  ซึ่งกระทรวงคมนาคมเล็งเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความล่าช้า เนื่องจากติดปัญหาการออกแบบที่ยังไม่สมบูรณ์ หากมีการปรับเปลี่ยนการออกแบบอีก เกรงว่างบประมาณที่ไจก้าสนับสนุนนั้นจะเสียโอกาสในการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักในการเคลื่อนย้ายขนส่งผู้โดยสาร คาดว่าจะให้ศึกษาร่วมลงทุนรูปแบบระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อลงทุนระบบที่เหลืออยู่ รวมทั้งการบริหารสถานีกลางบางซื่อ ขณะเดียวกันจากผลการศึกษา หากดำเนินการบริหารการเดินรถในรูปแบบเดิม จะส่งผลให้ขาดทุนใน 7 ปีแรก ซึ่งเราจะต้องเลือกวิธีที่สามารถเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงได้ตามกำหนด”

 

ทั้งนี้ทางกระทรวงจะดำเนินการพัฒนาอุโมงค์ใต้ดินเพื่อเชื่อมต่อทางด่วน   เบื้องต้นเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นแจ้งว่าปัจจุบันทางญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือให้กระทรวงคมนาคมตั้งคณะทำงานร่วมกับทางญี่ปุ่น เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวที่สามารถดำเนินการที่ช่วยประหยัดงบประมาณและได้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระบบขนส่ง ส่วนการนำบิ๊กดาต้ามาใช้นั้น ขณะนี้ทางกระทรวงอยู่ระหว่างศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการด้านระบบราง    เนื่องจากอาจกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ รวมถึงสุ่มเสี่ยงหากดำเนินการแล้วอาจเกิดปัญหาการฟ้องร้องในอนาคต