สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักคัดกรองข้อเสนอโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมตามวงเงิน 4 แสนล้านบาทภายใต้พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งเปิดให้กระทรวงต่าง ๆ ยื่นเสนอโครงการเบื้องต้น (Project Brief)เพื่อขอใช้งบดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สถานะการเสนอโครงการล่าสุดที่เปิดเผยผ่านระบบ “ThaiMe” ในเว็บไซต์ สศช. ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2563 มีคำขอ 46,411 โครงการ วงเงินรวม 1,448,474 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากรอบวงเงินที่มีอยู่ 4 แสนล้านบาท
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดดลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นหนึ่งหน่วยงานที่ร่วมเสนอโครงการพลิกฟื้นธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้วงเงิน 1 แสนล้านบาท โครงการฟื้นฟูศักยภาพการดำเนินธุรกิจสำหรับเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และโครงการพัฒนา Ecosystem เพื่อ Digital Transformation ของเอสเอ็มอีไทย 750 ล้านบาท รวม 1.507 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก เรียกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของวงเงินทั้งหมด
นายวีระพงษ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โจทย์ที่สำคัญที่ปัจจุบันไม่ใช่อยู่ที่วงเงิน โดยวงเงินที่ยื่นขอไปเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเบื้องต้นเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินไม่ว่าจะด้วยระบบใดก็ตาม โดยกลุ่มดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่เปราะบาง และต้องประสบกับปัญหาความยากลำบากอยู่มาก ซึ่งวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทที่ขอไปจะยังคงอยู่เช่นเดิม
ขณะที่ในส่วนของหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือนั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาข้อมูลอย่างรอบครอบว่าจะมีวิธีการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก และค่อนข้างจะสลับซับซ้อน โดยคาดว่าเงื่อนไขน่าจะมีการผ่อนปรนมากกว่า โครงการ “SMEs One” ที่ สสว. ดำเนินการร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขยาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ เพื่อให้สะดวกในการเข้าถึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะอำนวยความสะดวกไปเสียทั้งหมด ทุกอย่างจะต้องมีกรอบ และกติกาที่ชัดเจนให้ได้ปฏิบัติ
อย่างไรก็ดี หัวใจสำคัญก็คือจะต้องเป็นเอสเอ็มอีที่ยังประกอบกิจการอยู่ และมีแนวโน้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้น่าจะมีข้อสรุป ส่วนขั้นตอนต่อไปเมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สสว.จะต้องนำเรื่องเข้าสู่สำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็น ก่อนที่ส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง และนำกลับไปให้ สศช. ได้พิจารณาอีกครั้ง โดยวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทนั้น หากมองภาพรวม ณ วันนี้ น่าจะช่วยเอสเอ็มอีได้ประมาณ 1 ล้านราย โดยที่แต่ละรายจะได้รับวงเงินไม่เท่ากัน ซึ่งคำนวณจากในระบบฐานข้อมูลที่ สสว. มีในปัจจุบัน พบว่ามีเอสเอ็มอีทั่วประเทศอยู่กว่า 3 ล้านราย
“เวลานี้กลุ่มที่สำคัญที่ควรจะต้องไปดูแลก่อนคือกลุ่มเข้าไม่ถึงทุน เพราะกลุ่มอื่นได้รับการดูแลเยียวยาไปบ้างแล้วจากมาตรการต่าง ๆ”
ส่วนวงเงิน 1 แสนล้านบาทที่จะช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้เสีย(NPL) นั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยล่าสุดได้ให้ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม โดยหัวใจสำคัญที่ไม่แตกต่างกันก็คือ จะต้องเป็นธุรกิจที่ดูมีอนาคต เพราะคงจะเข้าไปช่วยหมดทุกผู้ประกอบการไม่ได้ ซึ่งคงต้องยอมรับว่าอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง โดยถือว่าเป็นความยากของการดำเนินโครงการ เพราะเงินจะต้องลงไปยังเอสเอ็มอีโดยตรง
“ในความเป็นจริงก็คือทุกคนเดือดร้อน และถูกกระทบกันหมด หากจะให้ดูแลทั้งหมด 100% วงเงิน 1 แสนล้านบาทก็คงไม่เพียงพอ โดยวงเงินดังกล่าวเป็นเพียงตุ๊กตาที่อาจจะช่วยได้แค่ 1 ใน 3 ของเอสเอ็มอีทั้งหมด เท่านั้น โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 ข้อมูลพื้นฐานที่ยังไม่ได้จัดชั้นหนี้ มี NPL(หนี้เสีย) จากธนาคารเฉพาะกิจ และธนาคารพาณิชย์ประมาณ 3 แสนกว่าราย ซึ่งคงช่วยไม่ได้ทั้งหมดต้องดูที่ไปต่อได้ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เราจะมีวิธีการอย่างไรที่เหมาะสม และต้องไม่เป็นการช่วยเหลือกลุ่มที่ซ้ำซ้อน โดยค่อนข้างต้องใช้เวลา ซึ่งโครงการอาจจะมีความล่าช้ากว่ากลุ่มของเอสเอ็มอีที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุน”
นายวีระพงษ์ กล่าวอีกว่า การพิจารณาช่วยเหลือจะต้องดูจากความจำเป็นเร่งด่วน เพราะฉะนั้นในส่วนของโครงการพัฒนา Ecosystem เพื่อ Digital Transformation คงจะต้องถูกถอดออกไปก่อน ส่วนทั้ง 2 โครงการที่เหลือเวลานี้ ก็คงต้องรอดูว่าจะได้รับพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ได้ที่วงเงินเท่าไร