“สกพอ.” เล็งชง “Business Bubble” หนุนต่างชาติลงทุน “EEC”

22 มิ.ย. 2563 | 09:30 น.

“สกพอ.” เล็งชง “Business Bubble” หนุนต่างชาติลงทุน “อีอีซี” รับโควิดกระทบลงทุน EEC หาย 10%

นายคณิศ  แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ "กพอ." เปิดเผยภายหลังการประชุม กพอ. ครั้งที่ 3/2563 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมรับทราบแนวทางผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” (EEC) ตามที่กลุ่มธุรกิจได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อยู่ระหว่างหารือร่วมกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ถึงแนวทางผ่อนปรน รวมทั้งสนับสนุนการอนุญาตให้เดินทางระหว่างประเทศแบบ "Business Bubble" เป็นลำดับแรกในพื้นที่เฉพาะเจาะจง อาทิ พื้นที่อีอีซี โดย สกพอ.จะได้เสนอศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 1019 หรือ “ศบค.” เพื่อทราบต่อไป

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ภาคธุรกิจ เช่น หอการค้าประเทศญี่ปุ่น ( JJC) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ภาคธุรกิจจากสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมได้ยื่นข้อเสนอให้ผ่อนคลายการเดินทางมายังพื้นที่อีอีซี ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ “โควิด-19” (Covid-19) ในประเทศไทยและต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

“เพื่อรองรับบุคลากรภาคธุรกิจในพื้นที่อีอีซีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สกพอ.อยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ถึงแนวทางผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศไทย ได้แก่ การสร้างภาคีเครือข่ายองค์กร บุคลากรทางการแพทย์ในประเทศต้นทาง กับสถานเอกอัครราชทูตไทยหรือสถานกงสุลใหญ่ โดยจัดให้มีการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางมีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศ (Fit to Fly) การขึ้นทะเบียนสถานที่และการบริการ Alternative State Quarantine เพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี และทบทวนข้อกำหนด หรือมาตรการให้บุคลากรต่างชาติสามารถทำภารกิจในพื้นที่ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น เป็นต้น”

“สกพอ.” เล็งชง “Business Bubble” หนุนต่างชาติลงทุน “EEC”

ทั้งนี้  ต้องนอมรับว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ทำให้นักลงทุนชะลอตัดสินใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซีและทั่วประเทศ เนื่องจากมีความไม่สะดวก ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บีโอไอ” (BOI) รายงานยอดการยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) ว่า ภาพรวมทั่วประเทศลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็น 27% ส่วนตัวเลขการยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ลดลง 10% ซึ่งลดลงไม่มาก

สำหรับผลกระทบจากโควิด-19 หนักมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2  แต่เชื่อว่าภาพรวมไตรมาส 3-4 น่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ แต่ทางสำนักงานอีอีซี ยังไม่ขอประเมินภาพรวมทั้งปี และอีอีซี ยังไม่มีการปรับเป้าหมายยอดทั้งปีที่ตั้งไว้ว่าจะมีมูลค่าโครงการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซี 1 แสนล้านบาท ส่วนการลงทุนเดิมผ่านบีโอไอ อีก 2 แสนล้านบาท รวมเป็นพื้นที่การลงทุนรวมในพื้นที่อีอีซี ปีละ 3 แสนล้านบาท  สำหรับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่  จีน  ตามด้วยญี่ปุ่น ประมาณประเทศละกว่า 8 พันล้านบาท ส่วนสิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน ลงทุนประมาณประเทศละ 6 พันล้านบาท

นายคณิศ กล่าวต่อไปอีกว่า การเข้ามาลงทุนในอีอีซีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ทั้งการย้ายฐานของนักลงทุนจีนเอง ญี่ปุ่น และนักลงทุนยุโรปก็ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาไทยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มลงทุนในอุตสาหกรรม 5G จะทยอยเข้ามาลงทุน เนื่องจากไทยสามารถควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดี กลุ่มธุรกิจที่จะย้ายเข้ามาอีก เช่น เฮลแคร์ การรักษาพยาบาลสอดคล้องกับการที่ไทยตั้งเป้าเป็นเมดิคัลฮับ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพทั้งอาหารและบริการต่าง ๆ  ซึ่งทางสำนักงานอีอีซีจะเร่งทำงานในช่วง 4-6 เดือนจากนี้ไป เพื่อให้ต้นปี 2564 นักลงทุนเริ่มมีการลงทุนได้ ส่วนโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานหรือ MRO อีอีซีเตรียมพื้นที่ 500 ไร่ การบินไทยต้องการทำโครงการต่อใช้พื้นที่ 200 ไร่ ยังเหลืออีก 300 ไร่ อีอีซีจะหาผู้สนใจเข้ามาลงทุนต่อไป

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอีอีซี ยังมอบหมายให้อีอีซีและบีโอไอ พิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุน เพื่อเป็นแรงจูงใจนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะ 5 อุตสาหกรรม S-CURVE รวมถึงการศึกษาและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยเน้นอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีขั้นสูงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เข้ามาลงทุนให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะให้สิทธิประโยชน์อย่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่จะพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรม สำหรับการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนของประเทศเพื่อนบ้านที่ให้มากกว่าไทย เช่น เวียดนาม ให้พื้นที่ลงทุนฟรีและไม่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้หากยังไม่มีกำไร เป็นต้น

“สกพอ.” เล็งชง “Business Bubble” หนุนต่างชาติลงทุน “EEC”

นายคณิศ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอีอีซี ยังรับทราบและพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตอีอีซี   ทั้งการจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซี ที่มีเป้าหมาย ยกระดับรายได้เกษตรกรให้เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ ซึ่งใช้แนวทางพัฒนาโดยใช้ความต้องการนำการผลิต ได้แก่ ความต้องการในประเทศ รองรับมหานครการบินภาคตะวันออก เมืองใหม่ และการท่องเที่ยว ความต้องการในต่างประเทศ สำรวจตลาดหาความต้องการเอเชีย CLMV และยุโรป ที่มีความต้องการสูง สร้างความต้องการด้วยการพัฒนาสินค้าใหม่

นอกจากนี้ ยังยกระดับการตลาด-การแปรรูป-การเกษตร ด้วยเทคโนโลยีในทุกขั้นตอน ได้แก่ สร้างตลาดด้วยกลไก e-commerce e-auction ขายไปทั่วโลก เชื่อมระบบโลจิสติก ตั้งแต่ส่งออก-ขายในประเทศ-จนถึงการรวมสินค้าระดับฟาร์ม ให้สะดวกระดับสากล แปรรูปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เก็บรักษาผลไม้ อาหารทะเล ด้วยระบบห้องเย็น สร้างงานวิจัยเชิงด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงตรงกับความต้องการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่หีบห่อ การแปรรูป การปลูก การควบคุมความเสี่ยงจากภูมิอากาศ จัดกลุ่มเกษตรกร จัดทำโซนนิ่ง เพื่อสะดวกในการเสริมสร้างความรู้ใหม่ การตลาด-การผลิต-การเงิน 

“อีอีซี ยังให้ความสำคัญกับเกษตร 5 คลัสเตอร์ที่มีพื้นฐาน ทำได้ทันที ได้แก่ ผลไม้ – พืช Bio-Based3 - ประมง - สมุนไพร - พืชมูลค่าสูง (เช่น ไม้ประดับ/ผักปลอดสารพิษ) โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซี ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมีผู้แทนจาก สกพอ.เป็นเลขานุการร่วม”

นานคณิศ กล่าวต่อไปอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอีอีซี ยังรับทราบโครงการจัดหาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) พื้นที่อีอีซี  ซึ่งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ “กฟภ.” เสนอโครงการพลังงานที่ใช้ในเมืองใหม่ รูปแบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Power Supply : SPS) ลักษณะการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือ Independent Power Supply (IPS) ซึ่งมอบหมายให้บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผลิตไฟฟ้าเพื่อส่งให้ กฟภ. รับซื้อ และส่งจำหน่ายสำหรับใช้ในเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ด้านอัตราค่าไฟฟ้าที่จะใช้ในเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะจะไม่สูงกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไปที่ กฟภ.ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น ๆ