สภาพัฒน์ปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้สนใจทั่วไปในแต่ละจังหวัดต่อโครงการตามแผนงาน 3.2 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจชุมชน การเกษตร/การพัฒนาแหล่งนาเพื่อชุมชน และการท่องเที่ยวชุมชนไปเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ก่อนจะข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการที่ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นส่งให้คณะอนุกรรมการและคณะกรรมการ กลั่นกรองพิจารณา
ปรากฎว่า มีประชาชนมาแสดงความคิดเห็นน้อยมากหรือแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีเลยก็ว่าได้ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยระยะเวลาสั้นแค่ีช่วง 8-15 มิถุนายนเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งคือยากต่อการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลอย่างนายชารินทร์ พลภาณุมาศ สมาชิก Data Sceince BKK ยังได้เขียนใน BLOG ส่วนตัวว่า กว่าจะได้วิเคราะห์ “ข้อมูลเปิด”ของรัฐไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลโครงการและงบประมาณที่ถูกนำเสนอ แต่คำว่า “เปิด” ก็คือดาวน์โหลดเป็น csvไม่ได้อยู่ แต่ให้นั่งเปิดเว็บไซต์ AJAX ล้ำๆดูทีละหน้าเป็นจำนวน 2,248 หน้า รวมทั้งสิ้น 33,716 โครงการเอาเอง ซึ่งเป็นสถานการณ์ ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2563 ดังนั้นจึงถือว่า วิเคราะห์ข้อมูลง่ายนิดเดียว เพราะที่เหลือยากหมด
“แม้ทุุกปัญหาแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี แต่ข้อมูลทั้งหมด 33,716 แถว (พูดให้ถูกคือ 33,719 แถว แต่สามแถวสุดท้ายดูไม่ใช่โครงการจริง) ถูกจัดเตรียมโดยใช้หลักการ machineunreadable อย่างแท้จริง กล่าวคือ วิเคราะห์อะไรด้วยคอมพิวเตอร์ไม่ได้เลย เพราะปัญหาเหล่านี้ เกิดจากการไม่คำนึงถึงประเภทของข้อมูลที่ต้องการนำมาใช้ในการวิเคราะห์ เป็นการเก็บข้อมูลเพื่อเก็บ ไม่ใช่เก็บเพื่อไปใช้ประโยชน์”
อย่างไรก็ตาม จากการจัดการข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ข้อมูล ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2563 มีโครงการถูกนำเสนอมา 33,716 โครงการจาก 38 กระทรวง นับเป็นงบประมาณทั้งหมดประมาณ 8.29 แสนล้านบาท โดยที่กว่า 30,000 โครงการมาจากกระทรวงมหาดไทย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า งบประมาณ 90% จะถูกแบ่งไปให้กระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่ามี 3 กระทรวงที่ได้งบมากกว่ากระทรวงอื่นๆ อย่างมีนัยยะสำคัญนั่นคือมหาดไทย สัดส่วน 28% สำนักนายกรัฐมนตรี 24% และเกษตรและสหกรณ์ 20%
เหตุที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้งบประมาณถึง 1.96 แสนล้านบาทนั้นเนื่องจากมี 1 แสนล้านบาทสำหรับ “โครงการพลิกฟื้นธุรกิจ SMEs ที่เป็น NPL ให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้” อันเป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดจากทุกโครงการนั่นเอง
โครงการส่วนใหญ่ มีงบประมาณอยู่ในช่วง 6-7 หลัก โดยมี “โครงการพลิกฟื้นธุรกิจ SMEs” เป็นเพียงโครงการเดียวที่แตะหลัก 1 แสนล้าน ส่วนโครงการ 4 หลักโครงการเดียวที่ถูกเสนอมาคือ “โครงการขุดสระเก็บน้ำบ้านหมอแปง หมู่ที่ 4 ขุดดินด้วยเครื่องจักร กว้าง 6.00 ม. ยาว 6.00 ม. ลึกเฉลี่ย 2.00 ม. หรือปริมาณดินขุดไม่น้อยกว่า 136 ลบ.ม.” ด้วยงบประมาณ 8,700 บาท
หากเจาะลึกลงไปถึงการ กระจายตัวของงบประมาณในระดับกระทรวงจะเห็นได้ว่างบประมาณต่อโครงการของกระทรวงการคลังและสำนักนายกฯสูงกว่ากระทรวงอื่น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีสเกลใหญ่กว่า ต่างจากกระทรวงมหาดไทยที่เน้นโครงการขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น หากนำชื่อโครงการทั้งหมดกว่า 3 หมื่นโครงการมาวิเคราะห์ดูพบว่า ที่เกี่ยวกับ “การก่อสร้าง” และ “ถนน” เป็นโครงการมากที่สุดของกระทรวงมหาดไทยและเกือบครึ่งหนึ่งของโครงการทั้งหมด แต่งบประมาณที่จัดสรรไปเป็นเพียงเกือบ 10% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าโครงการ “การก่อสร้าง” และ “ถนน” น่าจะได้รับงบประมาณอย่างล้นหลาม
แต่สิ่งที่ต้องตามดูหลังจากนี้ หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบโครงการและ สามารถเบิกใช้เงินกู้ได้แล้ว งบประมาณที่ลงไปจะเป็น เบี้ยหัวแตกที่ใช่เงินแล้ว หายไม่ได้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,584 วันที่ 18-20 มิถุนายน พ.ศ. 2563