ส.พัฒนาอุตฯสิ่งทอชี้โรงงานจ่อปิดกิจการกว่า 100 โรงงาน

05 มิ.ย. 2563 | 01:05 น.

"สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ" ชี้มีโรงงานจ่อปิดกิจการกว่า 100 โรงงาน เหตุไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลังยอดส่งออกหายกว่า 50% เดือนเมษายน แนะทางรอดมุ่งตลาดทางการแพทย์

นายชาญชัย  สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการ  สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด-19” (Covid-19) ส่งผลทำให้โรงงานทางด้านสิ่งทอในประเทศจะต้องปิดกิจการประมาณ 10% ภายในปีนี้ หรือประมาณ 100 โรงงานจากทั้งหมด 4,000 โรงงาน 

ทั้งนี้  สัญญาณดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม  ซึ่งยังไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัส  โดยการส่งออกสิ่งทอของไทยในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมยังทรงตัว  แต่เดือนเมษายนติดลบไปมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 

ส.พัฒนาอุตฯสิ่งทอชี้โรงงานจ่อปิดกิจการกว่า 100 โรงงาน

“ขณะนี้มีหลายโรงงานที่จะต้องปิดกิจการอย่างแน่นอน  เพราะทำผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน  หรือมีเป้าหมายเป็นจำนวนมากแบบไม่เฉพาะเจาะจง (MASS) รวมถึงไม่มีการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มมูลค่า และยังเน้นการแข่งขันทางด้านราคา”

อย่างไรก็ดี  ยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าวิกฤติไปได้  ก็คือจะต้องมีการปรับตัวเข้าสู่สิถีใหม่ของการทำธุรกิจ  โดยตลาดสิ่งทอทางการแพทย์จะเป็นตลาดน่าสนใจ  รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขอนามัย  และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการปกป้องตนเอง  เพราะผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น

นอกจากนี้  จะต้องมุ่งเน้นการทำตลาดในประเทศเป็นหลัก  โดยประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์  ซึ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของมิติดังกล่าว ซึ่งไทยมีความโชคดีที่มีอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ที่สามารถพัฒนาผลิตภัรพ์ขึ้นมาตอบโจทยืดังกล่าวนี้ได้

ส.พัฒนาอุตฯสิ่งทอชี้โรงงานจ่อปิดกิจการกว่า 100 โรงงาน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดสำหรับผู้ประกอบการไทยก็คือเรื่องขององค์ความรู้ทางด้านมาตรฐาน ยังไม่ค่อยรู้เรื่องการทดสอบเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล  และไม่ค่อยรู้จากการวิจัยและพัฒนา (R&D) มากนัก  โดยโรงงานขนาดใหญ่จะได้เปรียบเพราะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ส่วนโรงงานขนาดเล็กจะต้องเชื่อมโยงกับดรงงานขนาดใหญ่ในการทำธุรกิจไปด้วยกัน

“ปัจจุบันหลายโรงงานหันมาทำ หน้ากากผ้า ที่ได้มาตรฐาน ผลิต ชุด PPE ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ โดยต้องเรียนว่าชุด PEE ไม่ได้ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น  แต่ยังสามารถขยายตลาดไปสู่อุตสาหกรรมสปา คนเก็บขยะ และแอร์โฮสเตส ได้ด้วย ล่าสุดทางกรุงเทพมานคร ได้เข้ามาติดต่อสถาบันฯ  เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศแทนการนำเข้า  เช่น เสื้อผ้ากีฬา ชุดยูนิฟอร์ม  โดยสถาบันฯจะพยายามเชื่อมโยงอุตสาหกรรมสิ่งทอกับตลาดเข้าด้วยกัน  โดยตลาดในประเทศคือความหวังของผู้ประอบการไทย”

              นายชาญชัย กล่าวต่อไปอีกว่า ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำทางให้กับผู้ประกอบการ  โดยการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มองเห็นตลาด  และนำไปสู่การผลิต ซึ่งสถาบันฯก็จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการให้ความรู้ทางด้านการทอสอบให้ได้มาตรฐานสากล

              “งบประมาณที่ใช้ลงทุนไม่เยอะมาก  เพราะไลน์การผลิตเรามีแล้ว  แต่สิ่งสำคัญคือความรู้ในการพัฒนาผลิตใหม่ และการวิจัย เพราะงานทางด้านการแพทย์จะต้องผ่านมาตรฐานให้ได้ โดยผู้ประกอบการเองก็มีหลายระดับ กลุ่มผู้นำปรับได้ไวมาก  แต่กลุ่มใหญ่จะอยู่ตรงกลาง  ต้องให้เวลา  ส่วนกลุ่มข้างล่างหนักหน่อยอาจจะต้องปิดกิจการไปหากไม่พัฒนา”