ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การผ่อนปรนหรือคลายล็อกดาวน์เฟส 3 สถาบันเศรษฐศาสตร์ “มหาวิทยาลัยรังสิต” และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ประเมินว่า น่าจะช่วยให้อัตราการขยายทางเศรษฐกิจ หรือ “จีดีพี” (GDP) ไตรมาส 2/63 หดตัวหรือติดลบลดลงไม่ต่ำกว่า 1-2% จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะกลับมาเดือนมิถุนายน ทำให้ จีดีพี จะติดลบประมาณ 10-11% จากเดิมคาดว่าจะหดตัวประมาณ 12-13% โดยจะทำเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมครึ่งปีแรกมี จีดีพี ติดลบประมาณ 5.44 – 5.93%
โดยความเสียหายทางเศรษฐกิจขั้นต่ำจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกไม่นับรวมความเสียหายของโอกาสทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางสังคมและการว่างงานรวมทั้งต้นทุนค่าเสียโอกาสอื่นๆอยู่ที่ระดับ 496,713-455,233 ล้านบาท
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยหลังมาตราผ่อนปรนหรือ "คลายล็อกดาวน์" เฟส 3 กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนช่วยทำให้ จีดีพี ไตรมาส 2/63 หดตัวหรือติดลบลดลงไม่ต่ำกว่า 1-2%
ทั้งนี้ มาตรการการคลังและมาตรการการเงินรวมเม็ดเงินสาธารณะประมาณ 1.9 ล้านล้านบาทนั้นไม่เพียงพอต่อการฟื้นเศรษฐกิจและการสร้างตำแหน่งงานจำนวนมาก เงิน 1.9 ล้านล้านบาทเพียงช่วยประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงกว่าเดิมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้นสถานการณ์การทรุดตัวและติดลบทางเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายนจะกระเตื้องขึ้นบ้างแต่จะไม่มีผลต่อการขยายตัวของการจ้างงานใหม่ๆในตลาดแรงงานมากนัก
โดยแรงงานส่วนใหญ่ที่มีงานทำเป็นแรงงานที่มีประสบการณ์ จะมีนักศึกษาที่จบการศึกษาใหม่ในระดับปริญญาตรีและระดับวิชาชีพในเดือนมิถุนายนนี้ประมาณ 280,000-300,000 คนโดยมากกว่า 60% ของแรงงานบัณฑิตใหม่เหล่านี้จะไม่สามารถหางานทำได้ในระยะ 6 –18 เดือนข้างหน้า ส่วนนักเรียนในระดับมัธยมปลายและมัธยมต้นที่เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่จะมีโอกาสหางานทำได้มากกว่าหากไม่เลือกงาน แรงงานกลุ่มนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labour) จะเข้ามาทดแทนแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านบางส่วนที่ไม่เคลื่อนย้ายกลับมาทำงานในไทย
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า มาตรการช่วยเหลือของรัฐจากงบประมาณและการกู้เงินนั้น เป็นมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเท่านั้น ช่วงแรกของการดำเนินงานไม่ทั่วถึงและสับสนแต่ตอนหลังจัดระเบียบดีขึ้นบ้าง การช่วยเหลือเป็นแบบกระท่อนกระแท่นเป็นเพราะระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารประเทศอ่อนแอ ระบบประกันสังคมไม่ครอบคลุมแรงงานอิสระและเกษตรกร
รัฐบาลตัดสินใจผิดที่ปิดน่านฟ้าช้าเกินไปไม่เหมือนไต้หวัน แต่ตอนหลังกลับตัวทันจึงนำมาสู่ความสำเร็จในการควบคุมการติดเชื้อได้แต่บนต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การปิดเมืองกะทันหันแบบไม่เตรียมการช่วงแรก จนคนแห่เดินทางออกต่างจังหวัดและเกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อกระจายไปทั่วประเทศในช่วงเดือนเมษายน ด้วยระบบอาสาสมัครสาธารสุขในท้องถิ่นจึงหยุดการแพร่กระจายได้ในหลายจังหวัดและตนยังมีความมั่นใจว่าเราสามารถรับมือกับการระบาดระลอกสองได้แน่นอน
จากงานวิจัยทางด้านเศรษฐมิติของ ศ. ดร. กิตติ ลิ่มสกุล พบว่า การออกพระราชกำหนดปิดธุรกิจ ปิดเมือง ห้ามการเดินทางข้ามจังหวัด และเคอร์ฟิว ฯ หากประมาณอย่างหยาบการปิดเมืองทำให้การบริโภคลดลง เท่ากับ 3 แสนล้านต่อ 1 เดือนของการปิดเมือง หากปิดเมืองต่อไปถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมการบริโภคจะลดลงเท่ากับ หกแสนล้านบาท ดีที่ว่ามีการผ่อนปรนแล้วในเดือนมิถุนายน
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูปจะยังไม่ประเมินอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปีใหม่ โดยขั้นต่ำคาดว่าจีดีพีทั้งปีจะติดลบไม่ต่ำกว่า 5% การยังไม่ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจใหม่เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งความขัดแย้งในฮ่องกงเรื่องกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของจีนที่นำมาสู่ความขัดแย้งและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา การก่อการจลาจลในเมืองใหญ่จากปัญหาการเหยียดผิวในสหรัฐฯจะซ้ำเติมเศรษฐกิจและการลงทุนในสหรัฐฯที่มีปัญหาอยู่แล้ว นอกจากยังมีการระบาดระลอกสองของโรค Covid-19 ในหลายประเทศในยุโรปและเกาหลีใต้หลังการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์
นอกจากนี้ยังมีความวิตกกังวลการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคไวรัสโควิด 19 จากการระบาดกลุ่มใหม่ในมณฑลจี๋หลินและมณฑลเฮย์หลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนติดชายแดนรัสเซีย อย่างไรก็ตาม มีความมั่นใจในระบบสาธารณสุขไทยและพลังความร่วมมือของประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสภาพอากาศที่ร้อนมากๆการระบาดระลอกสองของไทยอาจไม่รุนแรงเท่าประเทศอื่นจะเป็นผลดีให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปรกติได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนการค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะเป็นปัจจัยบวกอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลกและไทยแต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ปีถึง 2 ปี อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยในปีนี้จะมีความไม่แน่นอนสูงมาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค Covic19 และปัจจัยเสี่ยงใหม่อื่นๆจะพัฒนาไปอย่างไรและมีลักษณะผลกระทบแบบปลายเปิด จากการประเมินล่าสุดสามารถชี้ชัดว่าได้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นแล้วในบางประเทศรวมทั้งไทย โดยภูมิภาคที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ ละตินอเมริกา สัญญาณที่ชัดเจนสุด คือ การผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลอาร์เจนตินา และ ภาวการณ์ล่มสลายอย่างสิ้นเชิงของระบบการเงินและเศรษฐกิจของเวเนซูเอลา