"สุริยะ" เล็งตั้ง กองทุนร่วมลงทุน 5 พันล้านบาทช่วย เอสเอ็มอี เติบโต

28 พ.ค. 2563 | 09:40 น.

สุริยะ เล็งตั้ง กองทุนร่วมลงทุน 5 พันล้านบาทช่วย เอสเอ็มอี แย้มใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก คาดรูปแบบร่วมลงทุนประมาณ 10-20%

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ "บีโอไอ" (BOI) ว่า ผู้ประกอบการได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ “เอสเอ็มอี” (SMEs) ให้สามารถพัฒนาตนเองสู่ธุรกิจขนาดใหญ่และมีศักยภาพ เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น

สำหรับเรื่องดังกล่าวนี้กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่าเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 4 แสนล้านบาท น่าจะใช้ตั้งกองทุนได้  โดยจะเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ซึ่งขนาดกองทุนร่วมลงทุนน่าจะมีวงเงินประมาณ 5 พันล้านบาท ส่วนรูปแบบการลงทุนจะเป็นร่วมลงทุนประมาณ 10-20%

"สุริยะ" เล็งตั้ง กองทุนร่วมลงทุน 5 พันล้านบาทช่วย เอสเอ็มอี เติบโต

                อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมียอดการส่งออกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มีการจ้างแรงงานกว่า 1 ล้านคน รวมถึงยอดขอตั้งประกอบโรงงานใหม่และขยายกิจการโรงงานประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบ 5 เดือนแรกของปี 62 กับปี 63 พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงาน เป็น 53 โรงงาน และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น จาก 9,372 คน เป็น 29,064 คน

ทั้งนี้ จากการสอบถามนักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค “โควิด-19” (COVID-19) นั้น นักลงทุนชื่นชมการรับมือรัฐบาลไทยสามารถรับมือกับโควิดได้ดี ส่งผลเอื้อประโยชน์ให้ภาคอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มียอดการส่งออกเพิ่มมากขึ้น 5-10%

นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่ทำธุรกิจภายในประเทศอยู่แล้วมีแผนจะขยายการลงทุนภายในปีนี้เพิ่มขึ้นอาทิเช่น ซัมซุง มิตซูบิชิ โตชิบา ซีเกต ไซโจเด็นกิ เป็นต้น ส่วนกิจการที่มีการย้ายฐานการผลิตนั้น การการตรวจสอบพบว่าเป็นการปรับแผนทางธุรกิจที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว

"สุริยะ" เล็งตั้ง กองทุนร่วมลงทุน 5 พันล้านบาทช่วย เอสเอ็มอี เติบโต

                นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการ BOI กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 60 จนถึงปัจจุบัน บริษัทต่างชาติและไทยที่ได้รับส่งเสริมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจริยะ อาทิ  ซัมซุง (เกาหลี)  ,โตชิบา ( ญี่ปุ่น / จีน)  ,ไมเดีย ( จีน)  ,มิตซูบิชิ ( ญี่ปุ่น)  ,อิเล็กโทรลักส์ ( สวีเดน)  ,แอลไลแอนส์ ลอนดรี้ ( สหรัฐ) ,แดยู ( เกาหลี) และซัยโจ เด็นกิ ( ไทย)

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้แช่ เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 5 เดือนแรกของปี 62 โดย 5 เดือนแรกของปี 63 มียอดคำขอ 62 โครงการ มูลค่ากว่า 26,764 ล้านบาท ประกอบด้วยอุตสาหกรรมประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้า ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสมาร์ท เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น หมวดผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วงจรรวม หรือ IC (Integrated Circuit) และแผงวงจรพิมพ์ หรือ PCBA เซลล์แสงอาทิตย์ 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่ยังยืนยันยึดไทยเป็นฐานการผลิตและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้านผู้บริหารกลุ่มพานาโซนิค ยืนยันว่าการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม นั้น ไม่ได้มีผลเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมั่นการลงทุนในไทย เนื่องจากพานาโซนิค เปิดโรงงานในไทยทั้งสิ้น 20 โรงงาน และย้ายฐานการลงทุนไปเพียง 2 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่มีเทคโนโลยีแบบเก่าไม่ได้ใช้งานในประเทศไทยแล้ว และยังเหลือบริษัทในประเทศไทยอีก 18 แห่ง โดยยังคงมีการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย