‘สนธิรัตน์’คิกออฟ แอลกอฮอล์ราคาถูก ปั๊มปตท.-บางจาก

30 มี.ค. 2563 | 05:20 น.

“สนธิรัตน์” คิกออฟจำหน่ายแอลกอฮอล์ราคาถูกให้กับประชาชนในปั๊มนํ้ามันบางจาก และปตท.ภายในสัปดาห์นี้ หลังปลดล็อกให้โรงงานเอทานอล 26 แห่ง นำไปผลิตเป็นเอทิล แอลกอฮอล์ได้ ยันกระทรวงพลังงานได้เข้ามาแบ่งเบาภาระประชาชนทุกภาคส่วนในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

 

กระทรวงพลังงาน เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการปลดล็อกให้กรมสรรพสามิต อนุญาตนำเอทานอล ที่ใช้ภาคพลังงานจากจำนวนโรงงานผลิต 26 แห่ง กำลังการผลิตกว่า 6 ล้านลิตรต่อวัน (ใช้ภาคพลังงานราว 4-5 ล้านลิตรต่อวัน) สามารถนำกำลังการผลิตที่ เหลือไปผลิตเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ เพื่อใช้สำหรับผลิตเจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ทำความสะอาดในทางการแพทย์ ในช่วงเกิดวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้มีแอลกอฮอล์ เพียงพอต่อความต้องการ

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าหลังจากนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีการ หารือกับโรงงานผู้ผลิตเอทานอลทั้ง 26 แห่งแล้ว ให้เพิ่มการผลิตเอทานอล จากกำลังการผลิตที่เหลือที่ยังสามารถดำเนินการได้อีก 1 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อผลิตเป็นเอทิล แอลกอฮอล์ ใช้สำหรับผลิตเจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ทำ ความสะอาดในทางการแพทย์ โดยทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะเข้าไปรับซื้อ และจะนำมาผลิตเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ 70% และจะเริ่มจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ในราคาถูกตามสถานีบริการนํ้ามันของทั้ง 2 บริษัท ภายในสัปดาห์นี้ หรือประมาณวันที่ 3 เมษายนนี้ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ การนำเอทานอลส่วนเกินนำมาผลิตเป็นเอทิล แอลกอฮอล์นี้ นอกจากจะช่วยแก้ ปัญหาการขาดแคลนแอลกอฮอล์ แล้ว ยังช่วยให้เกิดการใช้มันสำปะหลังและกากนํ้าตาลในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง

 

ส่วนการดำเนินงานอื่นๆ กระทรวงพลังงาน ยังได้ปรับลดอัตราเงินกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงในส่วนของก๊าซหุงต้ม ทำให้ราคาขายปลีกลดลง 3 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มที่ครัวเรือนทั่วไปขนาดถัง 15 กิโลกรัม ลดลงถึง 45 บาท จากเดิม ขายถังละ 363 บาท เหลือ 318 บาท และลดราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติ สำหรับยานยนต์ หรือก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถตู้ แท็กซี่ รถโดยสาร ลดลงถึง 3 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็น การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในช่วงเกิดวิกฤติเป็นเวลา 3 เดือน

 

รวมถึงปรับลดอัตรากองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงทุกชนิดลง 50 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกนํ้ามันทุกชนิดหน้าปั๊มลดลงทันที 25-50 สตางค์ต่อลิตร ยังไม่นับรวมการปรับลดราคาแบบรายวันของบริษัทนํ้ามันทุกแห่ง ทำให้ค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนลดลงและไม่สูงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้

 

อีกทั้ง ลดอัตราค่าไฟฟ้า 3% สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน -มิถุนายน 2563) ซึ่งจะใช้เงินมาอุดหนุนรวม 5,160 ล้านบาท และขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการเฉพาะอย่าง (ธุรกิจโรงแรม และกิจการให้เช่าพักอาศัย) ไม่คิดดอกเบี้ย ตลอดระยะเวลาการผ่อนผันโดยไม่มีการงดจ่ายไฟฟ้าเป็นการชั่วคราว และผ่อนผันได้ไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิล สำหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้า ประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563

 

นอกจากนี้ ยังได้คืนเงินค่าหลักประกันการใช้ไฟฟ้า ให้กับประชาชนทั่วไปและเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ทั้งในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คิดเป็นวงเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจถึงมือประชาชนได้ถึง 32,700 ล้านบาท โดยมีจำนวนผู้ได้รับสิทธิถึง 22.17 ล้านราย ซึ่ง จะเริ่มทยอยคืนเงินตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป

หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,561 วันที่ 29 มีนาคม - 1 เมษายน พ.ศ. 2563

‘สนธิรัตน์’คิกออฟ แอลกอฮอล์ราคาถูก ปั๊มปตท.-บางจาก