แหล่งข่าวจากผู้ผลิตหน้ากากอนามัยมากกว่า 1 รายเปิดเผยข้อมูลถึงความอึดอัดใจในการผลิตหน้ากากอนามัยในขณะนี้ว่า เริ่มเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจนับตั้งแต่ที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรกรณีถ้าส่งออกหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้น จะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการค้าภายใน ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา นับเป็นปัญหาตั้งแต่ออกประกาศมา เนื่องจากผู้ผลิตส่วนหนึ่งเตรียมที่จะส่งออก ทำให้สินค้าดีเลย์ออกไป ยอมรับว่าตอนออกประกาศมา พอดีกับที่เตรียมสินค้าส่งออก จึงต้องใช้เวลานานเกือบเดือนกว่าจะส่งออกได้ อีกทั้งภาครัฐยังมีเงื่อนไขว่า ต้องผลิตเพื่อแบ่งหน้ากากอนามัยขายให้กับองค์การเภสัชกรรมจำนวนหนึ่งในทุกเดือนด้วยในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
สอดคล้องกับที่ผู้ประกอบการอีกรายกล่าวว่า ขณะนี้ทำธุรกิจลำบากขึ้น และบางบริษัทจะได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน เนื่องจากผู้ผลิตหน้ากาก 11 ราย(ดูตาราง) มีทั้งได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมบางรายส่งออกทั้งหมด โดยผู้ผลิตหน้ากากอนามัยสรุปประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น 4 เรื่องหลัก ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในขณะนี้ ไล่ตั้งแต่ 1. บางบริษัทที่ผลิตเพื่อการส่งออกมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่มขึ้น 12% เนื่องจากจะต้องแบ่งกำลังผลิตส่วนหนึ่งสำหรับมาขายในประเทศทุกเดือนจนกว่าจะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้ และทุกโรงงานจะต้อง แบ่ง 50%ของสต๊อกที่มีอยู่ให้กรมการค้าภายในเพื่อขายให้กับองค์การเภสัชกรรมจำนวนหนึ่ง
2.กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้บริษัทผู้ผลิตหน้ากากกรอกข้อมูลว่าต่อวันสามารถผลิตได้เท่าไหร่ ขายไปที่ไหนบ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาประจำ 3.ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยจะต้องเสียเวลาในการวิ่งขอใบอนุญาตจากกรมการค้าภายใน ถ้าไม่มีใบอนุญาตก็ไม่สามารถส่งตู้บรรจุสินค้าเข้าท่าเรือได้ ซึ่งจะต้องวิ่งไปกระทรวงพาณิชย์แล้วใช้ตัวจริงไปแสดง จากที่ก่อนหน้านั้นมีแค่ใบกำกับสินค้าก็สามารถเข้าท่าเรือได้ โดยยอมรับว่าขั้นตอนในส่วนนี้ยุ่งยากมากเพราะจะต้องได้เลขใบอนุญาตเพื่อนำไปคีย์ใส่ใบขน
4.ปัจจุบันมีโทรศัพท์โทรถามเพื่อขอซื้อหน้ากากอนามัย ทำให้พนักงานจะต้องรับสายต่อวันนับร้อย ๆ สาย โดยผู้ที่ติดต่อเข้ามาอ้างว่าได้รับเบอร์ติดต่อมาจากกรมการค้าภายใน ทำให้บางช่วงต้องตัดสายทิ้ง และให้ซัพพลายเออร์ที่ติดต่องานเนประจำใช้วิธีติดต่อทางโทรศัพท์มือถือแทน
"ยอมรับว่าทำธุรกิจด้วยความยากลำบากจนแทบถอดใจ เกรงว่าถ้าเป็นปัญหาต่อเนื่องลากยาวไปอีก จะทำให้ไทยสูญเสียความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในประเทศไทยได้"
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้กรมการค้าภายในออกมาตรการดูแลสินค้าหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เข้ามาอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม ซึ่งมีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยให้มีการแจ้งปริมาณ การซื้อ-ขาย รวมถึงสต็อก และขอให้ผู้ผลิต นำเข้า ตัวแทนจำหน่าย จัดสินค้าหน้ากากอนามัยมายังศูนย์บริการจัดสรรที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าไปขายในราคายุติธรรมให้กับพื้นที่ที่จำเป็นก่อน เช่น โรงพยาบาล และผู้ให้บริการการท่องเที่ยว รวมถึงใช้ร้านธงฟ้าที่มีอยู่ทั่วประเทศเป็นจุดกระจายสินค้าให้ทั่วถึง
ส่วนการจัดสรรของผู้ผลิตแต่ละรายปริมาณเท่าใดนั้น จะพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งการผลิต และคำสั่งซื้อ และมาตรการการจำกัดการส่งออกตั้งแต่ 500 ชิ้น ต้องขออนุญาต แม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศแล้วก็ตาม เพราะจะให้ความสำคัญกับการใช้ในประเทศเป็นอันดับแรก
ปัจจุบันผู้ผลิตหน้ากากอนมัย 11 ราย มีกำลังผลิตรวมกันที่ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน โรงงานผลิตทั้ง 11 แห่ง ต้องส่งหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ทั้งหมดมาให้ “ศูนย์กระจายหน้ากากอนามัย” ที่บริหารร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขโดยศูนย์แห่งนี้จะรับหน้ากากอนามัยจากโรงงานเข้ามาวันละ 1.2 ล้านชิ้น ทั้งหมดจะถูกจัดสรรออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก 700,000 ชิ้นให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบจัดสรรหน้ากากให้กับโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย และอีกจำนวน 500,000 ชิ้น ให้กรมการค้าภายใน จัดสรรกระจายสินค้าให้กับประชาชนทั้งประเทศที่ต้องการหน้ากากผ่านทางร้านค้าสะดวกซื้อ-ร้านธงฟ้าประชารัฐ และรถโมบาย