“โคโรนา” พ่นพิษทำเศรษฐกิจไทยพัง5แสนล้าน

09 มี.ค. 2563 | 08:42 น.

พิษโคโรนา ทำเศรษฐกิจไทย พัง 5 แสนล้านบาท ชี้เอสเอ็มอีเจ๊งแล้วเฉลี่ย 4.8 แสนบาทต่อราย คาด72% มีแนวโน้มปลดคนเพิ่ม

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนก.พ 63  อยู่ที่ระดับ 44.9  ต่ำสุดในรอบ 27 เดือน  เนื่องจากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ที่มีระดับความรุนแรงต่อเนื่องและขยายวงกว้างไปทั่วโลก รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนลดลง ประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศเสี่ยงจากไวรัส และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ   โดยเบื้องต้นคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย.63) เศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายจากการระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท จากเดิมที่ประเมินไว้ในระดับกว่า 2.3 แสนล้านบาท จำนวนนี้ภาคการท่องเที่ยวและบริการได้รับผลกระทบ 3.5-4.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นส่งออก และอื่นๆ เป็นต้น

“โคโรนา” พ่นพิษทำเศรษฐกิจไทยพัง5แสนล้าน

“จากแนวโน้มผลกระทบจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงไวรัสโควิด-19 รวมถึงภัยแล้ง คาดว่าครึ่งปีแรกเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนักคาดว่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท หากไม่มีมาตรการใดๆมากระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวต่ำว่า 1 % แน่นอน อย่างไรก็ตามในเร็วๆนี้ทางศูนย์ฯ เตรียมประเมินจีดีพีปี 63ใหม่ แต่ต้องรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 1แสนล้านบาท ถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายด้านเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้สมาชิกหอการค้าไทยต้องการเสนอให้รัฐบาลเร่งเพิ่มมาตรการ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเกี่ยวกับการควบคุมการระบาดของไวรัส รวมถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการทางเกษตรและการอุปโภคบริโภค เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและให้ออกมาใช้จ่าย หรือหันมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีอย่างมีประสิทธิภาพ จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมและควรมีมาตรการในการตรวจสอบงบประมาณว่าลงถึงประชาชนในระดับฐานราก

ทั้งนี้ทางศูนย์ฯยังได้สำรวจผู้ประกอบการเอสเอ็มที่ได้รับกระทบจากไวรัสโควิด-19 พบว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีได้รับความเสียหายจากผลกระทบดังกล่าวในครึ่งปีแรกเฉลี่ยรายละ  484,847 บาท  แยกเป็น ธุรกิจขนาดเล็ก 141,663 บาทต่อ  ขนาดกลาง 1.046 ล้านบาทต่อราย โดยพบว่าธุรกิจที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลได้รับผลกระทบมากที่สุดเฉลี่ย 1.009 ล้านบาทต่อราย รองลงมาเป็นภาคใต้ 879,424 บาทต่อราย โดยส่วนใหญ่เป็นภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบมาก

นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจเอสเอ็มอีประมาณ 72.7% มีโอกาสที่จะปลดคนงานลงอีกเพื่อประคองธุรกิจส่วนใหญ่แรงงานในภาคบริการ การค้า และภาคการผลิต  หลังจากปัจจุบันเอสเอ็มอีมีการปลดคนงานลงแล้วเฉลี่ย 5.3 % ของแรงงานที่มีการจ้างอยู่ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในภาคใต้มากที่สุด รองลงมาเป็นกรุงเทพและปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ส่วนโรงงานหรือภาคธุรกิจที่ยังไม่ปลดคนงานจะเน้นการบริหารจัดการด้วยการยกเลิกการทำงานนอกเวลาหรือโอที เพื่อลดรายจ่าย รองลงเป็นการลดสวัสดิการ ให้พนักงานหยุดงาน ใช้เทคโนโลยีมาช่วย และลดชั่วโมงทำงานเป็นต้น

“โคโรนา” พ่นพิษทำเศรษฐกิจไทยพัง5แสนล้าน

“ปัจจุบันภาคธุรกิจก็ยังประสบปัญหาลูกค้าขอขยายเวลาในการชำระหนี้ โดยปกติการชำหนี้จะเฉลี่ยใช้เวลา 45 วัน แต่ขณะนี้ลูกค้าขอขยายระยะเวลาการชำหนี้ไปอีก 45 วันรวมเป็น 90 วัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งนี้เอสเอ็มอีต้องการให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือปัญหาดังกล่าว เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  เพิ่มวงเงินกู้โดยไม่ต้องใช้ประกันเพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดหรือยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน  เป็นต้น”