บีบค้าออนไลน์-ออฟไลน์ แจ้งปริมาณถือครองหน้ากากฯ

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยโดยมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สมาคมร้านขายยา, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ,กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ว่า หลังจากการประชุมวอร์รูมนับจากนี้ไปกระทรวงจะตั้งศูนย์กระจายหน้ากากอนามัย โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข  ผู้แทนจากโรงพยาบาลเอกชน และกระทรวงพาณิชย์ในการควบคุมการกระจายหน้ากากอนามัย โดยที่ผู้ผลิตจะจัดส่งหน้ากากอนามัย มาที่ศูนย์กระจายดังกล่าวเพื่อที่กระทรวงฯ จะเป็นตัวกลางในการกระจายหน้ากากอนามัยไปยังประชาชนอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ในฐานะปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเสนอมาตรการเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการหรือ กกร.เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการกำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่งที่ถือครองหน้ากากอนามัยจะต้องแจกแจงกรมการค้าภายในซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกกร.ที่ประกาศเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกักตุนสินค้า ส่วนปริมาณที่จะอนุญาตให้ผู้ใดผู้หนึ่งถือครองนั้น กกร.จะเป็นผู้กำหนดอีกครั้ง ซึ่งจะแตกต่างจากประกาศเดิมที่จะเน้นให้ขายและผู้ผลิตและผู้ส่งออกแจ้งสต๊อกสินค้าตามมาตรา 28 และมาตรา 29 แต่มาตรการใหม่จะเน้นไปที่บุคลคลทั่วไป รวมถึงผู้ค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีผู้ค้าจำนวนมากประกาศขายผ่านช่องทางต่าง ๆมีหน้ากากอนามัยไว้รอขายจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเข้าข่ายมาตรา 30 ว่าด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริหารตามมาตรา 30 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีปรับไม่เกิน1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คาดจะเสนอเข้าที่ประชุม กกร.ให้เร็วที่สุดภายในเดือนนี้

“ขณะนี้หน้ากากอนามัยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 38 ล้านชิ้นต่อเดือน ซึ่งต่อไปนี้ภาครัฐได้ตั้งศูนย์บริหารและจัดการหน้ากากอนามัย ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่กำกับดูแลกระจายหน้ากากอนามัยที่มีอยู่ทั้งหมด 38 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยย้ำว่าจะเน้นไปที่สถานพยาบาลและผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก่อนและขอย้ำว่า วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงหน้ากากอนามัยมากขึ้นถึง 5 เท่า ทั้งนี้เดิมหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าที่ผลิตเกินความต้องการ แต่เนื่องจากปัจจุบันเกิดโรคระบาดทำให้ความต้องการมากเกินกำลังการผลิต”

อย่างไรก็ตามกระทรวงฯได้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายจากผู้กระทำความผิดไปแล้ว 59  ราย แบ่งเป็น ขายแพง 38 ราย ไม่ติดป้ายราคา 21 ราย และผู้ขายออนไลน์จำนวน 5 ราย นอกจากนั้นยังจะเอาผิดกับแพลตฟอร์มที่ปล่อยให้มีการขายหน้ากากอนามัยเกินราคา ถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิด เพราะถือว่าแพลตฟอร์มนั้น ๆ ได้รับประโยชน์จากการขายสินค้าแพงเช่นกัน

ทั้งนี้ประชาชนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสหาพบว่าผู้ขายใดกระทำความผิดขายหน้ากากฯโก่งราคา สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หากกรณีใดสามารถนำไปสู่การจับกุมและดำเนินคดีได้ จะมีเงินสินบนรางวัล ตามมาตรา 28 ที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคา