SEG เผยกระจายการถือหุ้นรายย่อยครบ7%มี.ค.นี้

26 ก.พ. 2563 | 01:58 น.

SEG เผยเตรียมเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อย (Free float)ให้ครบ 7.00% ภายในมี.ค.63 และครบ 15%ภายในก.ค.ปีนี้  เล็งปรับโครงสร้างการถือหุ้นของ INSURE ให้เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัท แก้เรื่อง conflict of interest

นายโชติพัฒน์ พีชานนท์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ  SEG กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีแผนการดำเนินงานที่จะแก้ไขประเด็นสำคัญในเรื่อง (1) แผนการกระจายการถือหุ้นรายย่อย และ (2) แผนการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทอินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)หรือ INSURE  บริษัทขอแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวว่า

เหตุที่บริษัทฯ ยังไม่สามารถดำเนินการกระจายหุ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ให้ครบร้อยละ 7.00 ของทุนชำระแล้ว ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (วันที่ 31 กรกฎาคม 2562) ตามที่กำหนดในแผนการ เนื่องจากสภาวะความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การเสนอขายหลักทรัพย์เพื่อการกระจายการถือหุ้นรายย่อยเพิ่มเติมเป็นไปค่อนข้างยาก

อย่างไรก็ตามเพื่อดำเนินการตามแผนการดังกล่าว   ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบเพื่อนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการกระจายการถือหุ้นรายย่อยเพิ่มเติม โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อาจเสนอขายหุ้นสามัญเดิมและ/หรือ บริษัทฯ จะดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั่วไป (Public Offering) และ/หรือ บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) และ/หรือวิธีอื่นๆ ภายใต้เกณฑ์การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงานคณะกรรมการการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์รวมถึงกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยจะดำเนินการกระจายหุ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น ของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ให้ครบร้อยละ 7.00 ของทุนชำระแล้ว ภายในเดือนมีนาคม 2563 และกระจายหุ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ให้ครบร้อยละ 15.00 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ภายใน 1 ปีนับจากวันที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเท่ากับภายในเดือนกรกฎาคม 2563

ส่วนความคืบหน้าแผนการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ INSURE ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(แบบ 69/247-1) (ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562) เกี่ยวกับแผนการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด(มหาชน) ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SEG ถือหุ้นอยู่ INSURE จำนวน 6,782,495 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 67.82 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว โดย INSURE ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นธุรกิจหลัก โดยบริษัทฯ จะพิจารณาเสนอแนวทางการแก้ไขประเด็นดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริษัทฯ ภายใน 6 เดือน หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการประสานกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อให้การสนับสนุนในการดำเนินการเพื่อขจัดความขัดแย้ง 

ตัวอย่างแนวทางที่เป็นไปได้ เช่น การปรับโครงสร้างการถือหุ้นของ INSURE ให้เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทฯ เป็นต้น และจะเร่งดำเนินการให้บริษัทฯ ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเร็ว
ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตามแผนการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่2/2563 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563ได้มีมติอนุมัติในหลักการเพื่อดำเนินการตามแผนการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

อย่างไรก็ตามเนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณารายละเอียด เงื่อนไขต่างๆ ตลอดจนการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมอบหมายให้ฝ่ายจัดการพิจารณาและนำกลับมาเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาอนุมัติดำเนินการภายในเดือนมีนาคม 2563

อนึ่งแผนการกระจายการถือหุ้นรายย่อย ก่อนที่บริษัทจะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดนั้น บริษัทได้ดำเนินการกระจายหุ้นโดยการจำหน่ายหุ้นสามัญเดิมให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ส่งผลให้ ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 บริษัทฯมีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 29,189,886 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 3.88 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯ

นอกจากนี้บริษัทฯได้มีการกระจายหุ้นเพิ่มเติม โดยเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 บริษัท อาคเนย์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ได้ขายหุ้นจำนวน 3,600,000 หุ้ น คิดเป็นร้อยละ 0.48 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯให้แก่บริษัทที คิว เอ็มคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทฯ ส่งผลให้ ณ วันที่ 20 มกราคม 2563 บริษัทฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.36 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯ