การจัดตั้งกระทรวงการข้าว เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งกรุยทางสู่สภา โดยถือเป็นความจำเป็นต้องตั้งกระทรวงนี้ เพราะการปลูกข้าวเป็นอาชีพของชาวนากว่า 4 ล้านครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานดูแล ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการข้าวได้อย่างเป็นระบบครบวงจร เป็นที่มาในการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งกระทรวงการข้าว ในคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 และมีการประชุมครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งกระทรวงการข้าว เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากการประชุมนัดแรกมีหลายฝ่ายในคณะไม่เห็นด้วย ขณะที่แนวการจัดตั้งกระทรวงการข้าว เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลไม่อยากให้เกิดกระทรวงนี้ เลยมีแนวความคิดว่าจะให้มีการโหวตเสียงสภาเลยว่าใครไม่เห็นด้วย หรือสนับสนุนเพื่อให้ชาวนาได้ตัดสินใจว่าจะเลือกเข้ามาในสภาอีกหรือไม่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“ไทยมีพื้นที่ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 150 ล้านไร่ มีพื้นที่ปลูกข้าวไม่เกิน 69.25 ล้านไร่ เป็นนาปี 60.79 ล้านไร่ นาปรัง 8.46 ล้านไร่ ชาวนา 4.16 ล้านครัวเรือนสามารถผลิตข้าวเปลือกได้ 31-32 ล้านตันต่อปี ส่งออกข้าวสารทำรายได้เข้าประเทศปีละประมาณ 2 แสนล้านบาท ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องมีการตั้งกระทรวงการข้าวขึ้นมาดูแล ปัจจุบันชาวนาส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน จากการค้าข้าวที่ไม่เป็นธรรม กระทรวงนี้จำเป็นต้องเกิดเพื่อสร้างความเป็นธรรมและช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่ดีขึ้น”
ด้านนายศักดินัย นุ่มหนู ส.ส. จังหวัดตราด พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการคนที่ 2 คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งกระทรวงการข้าว กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะตั้งกระทรวงการข้าว เพราะไม่เชื่อว่าปัญหาราคาข้าวไม่เป็นธรรม สามารถแก้ด้วยการตั้งกระทรวงการข้าวได้จริงหรือไม่ ต่อไปจะเห็นกระทรวงยางพารา กระทรวงทุเรียนไม่จบสิ้น อีกด้านหนึ่งคือเปลืองงบประมาณ ต้องตั้งรัฐมนตรีใหม่
หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3550 วันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2563