อินโดรามาแจ้งตลาดฯ ชี้แจงย้ายรง.ในเขตเวสต์แบงก์

14 ก.พ. 2563 | 05:05 น.

อินโดรามา เวนเจอร์สฯ ชี้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยAvgol เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของไอวีแอล เตรียมแผนย้ายโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในเขต Barkan ไปยังโรงงานอีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่เดิมในอิสราเอล  และจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2563

 

14 ก.พ. นายโซวิค รอย เชาว์ดูรี่ เลขานุการบริษัท บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า บริษัท Avgol Industries 1953 Ltd. (“Avgol”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของไอวีแอล ที่ตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล ได้มีมติ ณ ที่ประชุมคณะกรรมการของ Avgol ซึ่งประชุมเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ในการที่จะย้ายโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในเขต Barkan (เวสต์แบงค์ – West Bank) ไปยังโรงงานอีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่เดิมในประเทศอิสราเอล ซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2563 ทั้งนี้ แผนการย้ายโรงงานในเขต เวสต์แบงค์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปธุรกิจไฟเบอร์ที่กำลังดำเนินการอยู่ อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนภายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยของธุรกิจไฟเบอร์ของไอวีแอล  โดยการย้ายครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของ Avgol (อ่านเพิ่มเติม...IVL ดิ่ง 8.8% เซ่น UN ขึ้นบัญชีดำ ตั้งถิ่นฐานยิวในเขตเวสต์แบงก์)

 

 นอกจากนี้ Avgol ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินในโรงงานในเขต Barkan แห่งนี้ แต่เป็นเพียงการเช่าที่ดินซึ่งสัญญาเช่าจะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2563

 

อินโดรามาแจ้งตลาดฯ  ชี้แจงย้ายรง.ในเขตเวสต์แบงก์  

 

คำชี้แจงของอินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นความเคลื่อนไหวที่มีขึ้นหลังจากที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNOHCHR)ได้ออกรายงานเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ว่า บริษัทเป็นหนึ่งในรายชื่อธุรกิจในบัญชีดำ (blacklist) จำนวน 112 บริษัท ที่ทำธุรกิจและเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายของชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ ในบรรดา 112 บริษัทนี้ ส่วนใหญ่คือ 94 บริษัทเป็นสัญชาติอิสราเอล อีก 18 บริษัทเป็นบริษัทต่างชาติใน 6 ประเทศ ซึ่ง 1 ในนั้นคือ อินโดรามา เวนเจอร์ฯ ที่เป็นบริษัทสัญชาติไทย

 

อินโดรามาแจ้งตลาดฯ  ชี้แจงย้ายรง.ในเขตเวสต์แบงก์

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทย้ำว่าในส่วนของบริษัทย่อยที่ตั้งอยู่ในเขตเวสต์แบงค์นั้นเป็นเพียงพื้นที่เช่า และบริษัทก็มีแผนที่จะย้ายออกจากบริเวณดังกล่าวไปอยู่อีกที่ในอิสราเอลในเร็วๆนี้อยู่แล้ว โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี2563นี้

 

-ย้อนรอยซื้อกิจการ AVGOL

 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ประกาศข้อตกลงเข้าซื้อกิจการในอัตราร้อยละ 65.72 ในบริษัท AVGOL INDUSTRIES 1953 LTD. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อิสราเอล คิดเป็นมูลค่ารวม 1.62 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น  Avgol มีโรงงานทั้งหมด 6 แห่ง ในประเทศอิสราเอล สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีนและอินเดีย โดยมีกำลังการผลิตรวม 203,000 ตันต่อปี มีพนักงานทั้งสิ้น 900 คนทั่วโลก

 

Avgol เป็นบริษัทผู้ผลิตเส้นใยนันวูเว่นสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 10 ซึ่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอนันวูเว่นสมรรถนะสูงของ Avgol ถูกนำไปใช้โดยผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมผ้าอ้อมเด็ก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยสำหรับผู้หญิงและผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ นอกจากนี้ Avgol ยังนำเสนอโซลูชั่นผ่านเทคโนโลยีกรรมสิทธิ์ อาทิ AVSPUN และ AVSOFT ซึ่งเป็นสิ่งทอที่เกิดจากการสานตัวของเส้นใยโดยใช้น้ำแรงดันสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่บางเบา สวมใส่อย่างสบายตัว นุ่ม ตลอดจนผลิตัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง

 

-เพิ่มHVAเสริมแกร่งทางธุรกิจ

 

การเข้าซื้อกิจการนี้เป็นโอกาสที่โดดเด่นสำหรับอินโดรามา เวนเจอร์ส ในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาดนันวูเว่นสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง Avgol จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจรให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อินโดรามา เวนเจอร์ส ยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการสร้างการเติบโตไปยังอุตสาหกรรมใกล้เคียงเพิ่มเติมในอนาคตผ่านความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่ง ช่วยให้บริษัทฯ นำเสนอคุณค่าและบริการที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ลูกค้าของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก

 

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการบริโภคเส้นใยนันวูเว่นประเภทที่ใช้แล้วทิ้งที่ใหญ่ที่สุด มีการคาดการณ์การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยทั่วโลกอยู่ที่อัตราร้อยละ 6-7 ต่อปี โดยความต้องการผลิตภัณฑ์นันวูเว่นสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีปัจจัยหลักจากการเติบโตของตลาดที่กำลังพัฒนา การเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวของประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาใต้ แอฟริกาและเอเชีย (เช่น จีนและอินเดีย) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของการใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ เป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโตโดยรวมของอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการใช้เส้นใยเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

 

-ซีอีโอเปิดใจซื้อ AVGOL

 

 ก่อนหน้านี้ นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ Avgol จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอินโดรามา เวนเจอร์ส ซึ่งถือเป็นโอกาสที่โดดเด่นและเป็นก้าวสำคัญในการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA โดยการเพิ่มกิจการที่มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดที่มีความน่าสนใจและมีแนวโน้มการเติบโตอย่างมากเข้ามาในกลุ่ม Avgol มีการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยการขยายภูมิศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจและขยายกำลังการผลิต เราคาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการขยายการเติบโตที่ Avgol ได้ดำเนินการไปแล้วดังกล่าว และจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทฯ ยิ่งขึ้นไปอีก ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ความสามารถที่เกื้อหนุนและตำแหน่งทางการตลาดในตลาดที่มีการเติบโตสูงของ Avgol ประกอบกับเครือข่ายการดำเนินงานที่มีอยู่ทั่วโลกของอินโดรามา เวนเจอร์ส จะสร้างโอกาสในการสร้างคุณค่าเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าของเราได้ดีที่สุด”

 

อาลก โลเฮีย

 

การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ วางแผนโดย Rothschild & Co ซึ่งรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้แก่อินโดรามา เวนเจอร์สแต่เพียงผู้เดียว HFN ในประเทศอิสราเอลรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และ KPMG ให้การสนับสนุนการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน

 

-ทำความรู้จักกับอินโดรามา เวนเจอร์สฯ

 

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Integrated PET ธุรกิจโอเลฟินส์ ธุรกิจเส้นใย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั่วโลกราว 24,000 คนและมีรายได้จากการขายรวม 10.7 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 บริษัทฯ เป็นสมาชิกดัชนีดาวโจนส์ (DJSI) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และมีโรงงานทั่วโลก อันได้แก่ ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา   เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี เดนมาร์ก ลิทัวเนีย โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ลักเซมเบิร์ก สเปน ตุรกี ไนจีเรีย กานา โปรตุเกส อิสราเอล อียิปต์ รัสเซีย สโลวาเกีย ออสเตรีย    สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แคนาดา บราซิล  และในเอเซีย ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ ออสเตรเลีย