เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนปิโตรฯนอกบ้านรับปี63

29 ม.ค. 2563 | 10:28 น.

เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอล คอมเพล็กซ์ ในเวียดนามและเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานกระดาษที่ฟิลิปปินส์  รับปีนี้มีท้าทายต่างประเทศเหนือการควบคุม ทั้งสงครามตะวันออกกลาง ค่าเงินบาท ภัยแล้ง ชี้ไวรัสโคโรนาไม่กระทบแผนธุรกิจ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่าปีนี้เอสซีจีมีแผนลงทุนใน ปี 2563 เอสซีจีเตรียมงบลงทุน 6-7 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 30% เป็นการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอล คอมเพล็กซ์ ในประเทศเวียดนามเป็นหลัก โครงการเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานกระดาษที่ประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 โดยเน้นการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 55% ภายใน 5 ปี เทียบกับปี 2562 มีสัดส่วน 41% คิดเป็นมูลค่า 179,181 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกหลังสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐคลี่คลาย ตลาดภูมิอาเซียนยังเติบโตต่อเนื่องส่งผลดีต่อธุรกิจของเอสซีจี

เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนปิโตรฯนอกบ้านรับปี63

นอกจากนี้ในปี 2563 เอสซีจีต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สู้ศึกดิสรัปท์ชันอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยสามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจไว้ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการทรานสฟอร์มปัจจัยภายในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ (Business Transformation) จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้ส่งมอบโซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้อย่างครบวงจร และสามารถสร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้สูง ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากร (People Transformation) ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง ให้มีทักษะที่จำเป็น สามารถเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าทุกกลุ่มทั่วภูมิภาคได้อย่างลึกซึ้ง สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์การแข่งขัน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที

เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนปิโตรฯนอกบ้านรับปี63

สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจีปี 2562 มีรายได้จากการขาย 437,980 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 8% มีกำไร 32,014 ล้านบาท ลดลง 28% เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง จากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าและความผันผวนของตลาดที่ส่งผลกระทบทำให้ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า

เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนปิโตรฯนอกบ้านรับปี63

“ต้องยอมรับว่าปัจจัยภายนอกต่างๆ เป็นความเสี่ยงที่มีความผันผวนและควบคุมไม่ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องมาในปีนี้ ทำให้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี 2563 ได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง ปัญหาปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน(พีเอ็ม 2.5) ที่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของเอสซีจี แต่มีผลทางอ้อมต่อตลาดในประเทศ รวมถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาให้มีผลบังคับใช้ หากล่าช้าออกไปจะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลักแน่นอน“

เอสซีจีทุ่ม7หมื่นล้านลงทุนปิโตรฯนอกบ้านรับปี63

นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาจากประเทศจีนที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ท่องเที่ยวรวม ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ชัดเจน เพราะยังไม่รู้ว่าจะสถานการณ์ให้ยุติลงเมื่อไหร่ และสร้างความเสียหายมากแค่ไหน เป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก  โดยในส่วนของบริษัทเองได้มีการให้พนักงานคนไทยที่มีกว่า10คนกลับมาไทยแล้ว และธุรกิจยังไม่กระทบเพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่อูฮั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบต่อจีนโดยตรง เพราะมีวันหยุดมากขึ้นและต้องใช้เวลาแก้ปัญหา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศท่องเที่ยวหลักของคนจีนจึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบและมูลค่าความเสียหายว่าจะมากแค่ไหน