นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีความกังวลในเรื่องปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่อาจจะต้องล่าช้าออกไป โดยมีความเห็นว่ารัฐจะต้องพยายามผลักดันงบประมาณให้ออกมาเร็วที่สุดภายในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งอาจจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โดยงบประมาณที่หายไปมีมูลค่าการ 3 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้เป็นงบจัดซื้อจัดจ้างหลายแสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้หากเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็จะมีมูลค่านับล้านล้านบาท จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มาก ขณะที่ในส่วนของภาครัฐควรจะเตรียมออกมาตรการขยายระยะเวลาชำระเงินกู้ออกไป 3-6 เดือน เพื่อช่วยยืดเวลาหายใจให้กับภาคธุรกิจ ลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง ซึ่งหากเห็นว่าเกิดวิกฤตจะได้นำมาตรการเหล่านี้มาใช้ได้ทันที
“ในภาวะที่การเบิกจ่ายงบประมาณอาจจะมีปัญหา ภาคเอกชนแต่ละรายจะต้องปรับตัวโดยการชะลอการใช้จ่าย และเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้า เพื่อทำตลาดได้มากขึ้น จะต้องช่วยเหลือตัวเองทุกทางให้ได้มากที่สุด”
อย่างไรก็ดี ยังได้เสนอต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในเรื่องการแก้ไขกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอีเข้าถึงมากขึ้น ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้นายกฯก็เข้าใจถึงปัญหาว่ามาตรการจัดซื้อจัดจ้างมีเพียงระบบเดียว ในขณะที่ผู้ประกอบการมีหลากหลายทั้งรายใหญ่ และเล็ก ดังนั้นระบบจัดซื้อจัดจ้างควรต่างกัน แต่ที่สำคัญจะต้องมีความโปร่งใส โดยเห็นว่าควรจะมีคณะกรรมการที่มีตัวแทนของภาคเอกชนเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหากฎระเบียบเหล่านี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงงานประมูลภาครัฐได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังได้ผลักดันในเรื่องกองทุนนวัตกรรม ซึ่งจะเข้าไปคุยในรายละเอียดกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในเร็วๆนี้ เพื่อหารือในรายละเอียดการตั้งกองทุนฯ โดยกองทุนฯนี้ ภาคเอกชนจะเป็นผู้ลงขันวงเงินทั้งหมดในเบื้องต้นประมาณ 1 พันล้านบาท และเป็นผู้บริหารกองทุน เพื่อใมห้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้เข้าถึงเงินทุนในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการวิจัยพัฒนาสินค้า อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรสนับสนุนในเรื่องของการให้บริษัทที่สนับสนุนเงินเข้ากองทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า เพื่อจูงใจให้บริษัทต่างๆเข้ามาลงเงินให้กับกองทุนนี้มากขึ้น