นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลกระทบการระบาดของไวรัสโคโรนาที่มีต่อไทยและเศรษฐกิจโลก ในส่วนของผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยมีทั้งทางตรงและอ้อม ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์พบว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้มีการปรับตัวและร้ายแรงมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูง เมื่อเทียบกับโรคซาร์สที่เคยระบาดเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ที่แตกต่างคือปัจจุบันเศรษฐกิจจีนมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นทั่วโลก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นที่จีนก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ขณะนี้ประธานาธิบดีของจีนได้สั่งห้ามประชาชนเดินทางออกนอกเมือง หรือแม้แต่นอกประเทศหรือปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโรค จากคำสั่งดังกล่าวก็จะมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศของจีนเอง กำลังซื้อก็ลดลง แม้ว่าก่อนหน้านั้นประชาชนจะซื้อข้าวของเพื่อกักตุนไปแล้วแต่ก็ไม่สามารถชดเชยกำลังซื้อที่หายไปได้ รวมทั้งจะส่งผลลบต่อการทำธุรกิจ การค้าการลงทุนของจีน โดยคาดการระบาดของไวรัสโคโรน่าจะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน (จีดีพี) 0.5% ถึง 1% และจะกระทบต่อจีดีพีของโลก 0.2ถึง 0.3%
“เมื่อจีดีพีของโลกชะลอตัวลงก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวจีนก็จะหายไปจากไทย โดยปกติแล้วนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยปีละประมาณ 10 ล้านคน หรือเดือนละ 9 แสน-1 ล้านคน ทำให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหายไปจากไทยประมาณ 2 ล้านคน รวมทั้งความเสียหายจากภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะประมาณ 8 หมื่น-1แสนล้านบาท แต่หากจีนและทั่วโลกสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไวมากกว่านี้ก็อาจเสียหายประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น”
ส่วนผลกระทบจากภาคการส่งออกนั้น ไทยยังจะได้รับผลกระทบในภาคการส่งออกไปจีนที่ลดลงเนื่องจากกำลังซื้อของจีนลดลง ซึ่งก็จะทำให้สินค้าไทยที่จะส่งออกไปจีนได้น้อยลงตามไปด้วย คาดว่าอาจจะติดลบในส่วนของตลาดจีน และเมื่อการส่งออกไปตลาดสำคัญอย่างจีนติดลบก็จะส่งผลต่อจีดีพีของไทย 0.5 ถึง 0.7% และเชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะไม่โดดเด่นมากนัก
ยิ่งมีปัญหาเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญตีความเนื่องจากพบมีการเสียบบัตรแทนกันของส.ส. ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้ไม่มีงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาภัยแล้ง ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยไม่โดดเด่น ซึ่งอาจทำให้จีดีพีของไทยอาจต่ำกว่า 2.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 2.8%
“แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบไปบ้าง แต่ต้องมองในระยะยาว ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรค เราต้องยอมตัดแขนตัดขาไปบ้างเพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ได้ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็คาดว่านักท่องเที่ยวก็จะกลับมาไทย แต่ช่วงนี้เราต้องควบคุมดูแลไม่ให้มีการระบาดมากขึ้นกว่าเดิม”นายธนวรรธน์ กล่าว
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ว่าขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยคาดวาจะได้ความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม จากการที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ได้ออกแถลงการณ์โดยระบุว่าผู้ป่วยทั้งหมดได้รับเชื้อจากต่างประเทศ ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย และยืนยันสามารถควบคุมการแพร่ระบายของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่าได้นั้นน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างมาก และมั่นใจได้ว่าจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่คุมเข้มคัดกรองผู้ป่วยจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้
ทั้งนี้คาดว่าจะไม่กระทบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากนัก อย่างไรก็ดี ภายในระยะเวลา 20 วันต่อจากนี้หากไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม ก็ถือว่าภาครัฐสามารถควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี และจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะในหลายประเทศขณะนี้ยังมีการระบายแต่หากไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็เชื่อว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงจะเป็นผลดีต่อโรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัยส่งออกของไทย หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและผลิตได้ตรงตามมาตรฐานก็จะเป็นโอกาสของผู้ส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ยังประเมินความเสียหายหรือผลกระทบในด้านการส่งออกไม่ได้ ต้องรอความชัดเจนจากทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำอยู่ในประเทศจีนซึ่งก็มีอยู่ด้วยกัน 7 สำนักงานประกอบด้วย ฮ่องกง,กวางโจว,เซี่ยเหมิน ,คุนหมิง ,เซี่ยงไฮ้ ,หนานหนิง และชิงเต่า ก็กำลังติดตามสถานการณ์และมีการหารือร่วมกันกับผู้แทนของกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ประจำการที่จีน รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์ คาดจะรายงานกลับมาให้ทางกระทรวงรับทราบโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ประเมินสถานการณ์ ที่กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอยู่ระหว่างการหารือกับสถานทูตไทยในจีนถึงผลกระทบคาดว่า1-2วันน่าจะมีความชัดเจน ทั้งในเรื่องของภาพรวมหการส่งออก ผลกระทบต่อสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังจีน และการจัดโรดโชว์ต่างๆตามแผนงานของกระทบพาณิชย์
รวมถึงการจัดงานแสดงผลไม้ ที่หนานหนิงในช่วงวันที่22-23 เมษายน2563 ที่จะถึงซึ่งหากได้ข้อมูลมาตนจะเชิญภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมาหารืออีกครั้ง และในวันพรุ่งนี้ (28มกราคม) ที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวด้วย