11เดือนยอดใช้FTA-GSPวูบตามส่งออก

23 ม.ค. 2563 | 09:26 น.

11 เดือนยอดส่งออกใช้เอฟทีเอ-จีเอสพีลดตามการส่งออกโดยรวมของประเทศ -คต.เตรียมถกเอสเอ็มอีรับมือสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี 

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวถึงการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ระหว่างเดือนม.ค. – พ.ย. 2562 ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 65,642 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 75.98%  ลดลงที่ 4.14%  แบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 60,790 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,852 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การใช้สิทธิประโยชน์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค. – พ.ย.) ภายใต้ความตกลง FTA ของไทยจำนวน 11 ฉบับ จาก FTA ที่ไทยมีรวมทั้งหมด 13 ฉบับ เนื่องจากไม่คิดรวมความตกลงอาเซียน-ฮ่องกงที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562 และ ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ใช้ระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออก (Self-declaration) มีมูลค่า 60,790ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 77.26%  ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 78,679 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกที่ลดลง 2.8%  ซึ่งยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 5.52%

11เดือนยอดใช้FTA-GSPวูบตามส่งออก  

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.)

โดยยังคงมีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงปัจจัยด้านค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ในภาพรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแต่ยังมีบางตลาดที่มีการขยายตัวของอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ  เช่น เปรู ขยายตัวดีที่ 31.96%  มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม จีน ขยายตัวที่ 2.17%  มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น  สำหรับตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อาเซียน8.27%  ออสเตรเลีย 15.00%  เป็นต้น

11เดือนยอดใช้FTA-GSPวูบตามส่งออก

ทั้งนี้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA สูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็น ลำดับที่ 1.  อาเซียน มูลค่า 22,716 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2. จีน มูลค่า 16,566 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3. ออสเตรเลีย มูลค่า 7,285 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 4. ญี่ปุ่น มูลค่า 6,971 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 5.อินเดีย มูลค่า 3,963 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ไทย-ชิลี 100% 2. ไทย-เปรู 93.28% 3. อาเซียน-จีน 90.94%  4. ไทย-ญี่ปุ่น 88.88%  และ 5. อาเซียน-เกาหลี 82.86%  สำหรับรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด น้ำตาลจากอ้อย และผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง

11เดือนยอดใช้FTA-GSPวูบตามส่งออก

ส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ระหว่างเดือนม.ค. – พ.ย. 2562 ไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP จำนวน 4 ระบบ คือ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP 11 เดือนแรกอยู่ที่ 4,852 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 62.87%  ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าซึ่งมีมูลค่า 7,718ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ 17.44%  สำหรับ 11 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 4,413 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิฯ 67.03%  ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่า 6,583 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 11%  ถัดมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 283 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 35.49%  ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 798ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 2.27%  ในส่วนประเทศรัสเซียและเครือรัฐ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 80.77%  ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 15.14% และนอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 25ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 100%  ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 35.99%  สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยางอื่น ๆ อาหารปรุงแต่งอื่นๆ น้ำผลไม้ และเลนส์แว่นตา

“ที่ผ่านมากรมได้แจ้งให้เอกชนทราบว่า GSP คือสิทธิทางภาษีที่เป็นการให้เพียงฝ่ายเดียวและประเทศที่ให้สิทธิสามารถตัดสิทธิเมื่อไหร่ก็ได้ โดยอ้างเรื่องต่าง ๆเช่น ปัญหาแรงงาน การกดดันให้นำเข้าหมู หรือมาตรการอื่น ๆ  ดังนั้นประเทศที่เคยได้สิทธิต้องเตรียมพร้อมรับมือหากถูกตัดสิทธิ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมเรื่องคุณภาพของสินค้าแทนการแข่งขันด้านราคา  ”นายกีรติ กล่าว

11เดือนยอดใช้FTA-GSPวูบตามส่งออก

ทั้งนี้สำหรับมาตรการความช่วยเหลือที่กรมได้ภายหลังจากการหารือร่วมกับภาคเอกชนรายใหญ่ ได้กำหนด 4 มาตรการคือ 1. ด้านการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุน 2.ด้านตลาด อาทิ เร่งทำข้อตกลงทางการค้าโดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค  (RCEP)  พร้อมสนับสนุนกิจกรรมการขยายตลาดใหม่โดยการจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดคณะนักลงทุน/นักธุรกิจร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ รวมถึงการสนับสนุนในลักษณะพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาในการเข้าสู่ตลาดใหม่ 3. ด้านการอำนวยความสะดวก อาทิ ลดต้นทุนการผลิต ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และ 4.ด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างนวัตกรรม เช่น ส่งเสริมการลงทุน R&D สนับสนุนการนำงานวิจัยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้าง Startup/ผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมในตลาดสหรัฐฯ ในระยะต่อไป กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการรองรับผลกระทบในรายละเอียดเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนอย่างแท้จริงต่อไป