ก.อุตฯเร่งแก้ปัญหา PM 2.5 ขอโรงงานลดกำลังการผลิต

22 ม.ค. 2563 | 05:15 น.

กระทรวงอุตสาหกรรมสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมการระบายมลพิษอากาศจากการประกอบกิจการ พร้อมกำหนดมาตรการและปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละออง

นางสาวสุชาดา  แทนทรัพย์  โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งหามาตรการในการควบคุม และป้องกันการเกิดปัญหาคุณภาพอากาศมีฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับให้ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบ กำหนดมาตรการ และปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันมิให้เกิดหรือลดปัญหาฝุ่นละออง ที่มีสาเหตุจากกระบวนการอุตสาหกรรม และขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรมในการลดกำลังการผลิตลงด้วย โดยเบื้องต้นได้สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดให้ออกมาตรการบรรเทาปัญหา 

ก.อุตฯเร่งแก้ปัญหา PM 2.5 ขอโรงงานลดกำลังการผลิต

สำหรับการกำกับดูแลสถานประกอบการอุตสาหกรรม ได้มีมาตรการดังนี้  1.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรมในการลดกำลังการผลิต ควบคุมการระบายมลพิษอากาศจากการประกอบกิจการ และขอความร่วมมือโรงงานที่ติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษ (CEMS) ที่อยู่นอกพื้นที่บังคับใช้ตามกฎหมายให้เชื่อมต่อข้อมูลรายงานคุณภาพอากาศมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม

,2.ตรวจสอบและเฝ้าระวังโรงงานเพื่อป้องกันการเกิดฝุ่นและมลพิษทางอากาศ โดยแผนการตรวจโรงงานประจำปี 2563 เน้นโรงงานที่เคยมีปัญหาข้อร้องเรียนด้านฝุ่นละอองในปีที่ผ่านมา  ,3.กำกับดูแลให้โรงงานตรวจสอบระบบบำบัดอากาศให้มีประสิทธิภาพ  ,4.ส่งเสริมให้โรงงานใช้เทคโนโลยีสะอาดให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคในการปรับปรุงกระบวนการเพื่อการลดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และ5.ประสานขอความร่วมมือกับกองทัพอากาศสำรวจสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) โดยใช้เครื่องมือตรวจวัดร่วมกับโดรน    

ขณะที่มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ออกประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับเงินที่หักจากค่าอ้อยไฟไหม้ อ้อยยอดยาว และอ้อยที่มีกาบใบ พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้หักเงินชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยไฟไหม้ในอัตราตันละ 30 บาท จ่ายคืนให้กับชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีเต็มจำนวนโดยคิดแยกเป็นรายโรง  และมาตรการปรับเงินสำหรับโรงงานน้ำตาลที่มีอ้อยไฟไหม้เข้าหีบเกินจำนวนที่กำหนด ในอัตราตันละ 12 บาท โดยให้นำเงินส่วนนี้เป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อนำไปใช้ในโครงการลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ต่อไป

ก.อุตฯเร่งแก้ปัญหา PM 2.5 ขอโรงงานลดกำลังการผลิต

นอกจากนี้ได้ประสานความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ สมาคมชาวไร่อ้อย โรงงานน้ำตาล และเกษตรกรชาวไร่อ้อยในพื้นที่  รณรงค์ไม่ให้เก็บเกี่ยวอ้อยด้วยวิธีการเผาไร่อ้อยก่อนตัดส่งเข้าโรงงานน้ำตาล และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เรื่อง มาตรการแนวทางแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ และปัญหาของฝุ่น PM 2.5 ที่มาสาเหตุมาจากการเผา

ทั้งนี้  จากรายงานการสำรวจปริมาณอ้อยไฟไหม้ ฤดูการผลิตปี 2562/2563 เมื่อเปรียบเทียบกับฤดูการผลิตปี 2561/2562 ณ วันหีบที่ 50 ของฤดูการผลิต พบว่ามีปริมาณอ้อยไฟไหม้ลดลงถึง 7.43 % โดยอ้อยไฟไหม้ในฤดูการผลิตปี 2562/2563 มีปริมาณ 20,927,473 ตัน จากปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด 42,621,206 ตัน คิดเป็น 49.10% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด

ด้านมาตรการเกี่ยวกับผู้ประกอบการด้านเหมืองแร่ ขอความร่วมมือสถานประกอบการ  1.ให้ควบคุมการระเบิดให้เป็นไปตามหลักวิชาการเพื่อควบคุมฝุ่นจากการระเบิด  ,2.ตรวจสอบระบบกำจัดฝุ่นของสถานประกอบการให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเปิดใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาประกอบการ  ,3.ฉีดพรมน้ำและปรับปรุงเส้นทางขนส่งในเขตเหมืองแร่เป็นประจำเพื่อลดการสะสมฝุ่น  

ก.อุตฯเร่งแก้ปัญหา PM 2.5 ขอโรงงานลดกำลังการผลิต

,4.ทำความสะอาดบริเวณพื้นที่สถานประกอบการ ลานเก็บกองแร่และมูลดินทราย เพื่อลดการสะสมของฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ  ,5.ตรวจสอบระบบล้างล้อรถบรรทุกให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้มีการล้างล้อรถบรรทุก ก่อนออกจากสถานประกอบการทุกครั้ง  และ6.จัดทำแนวกันชนปลูกต้นไม้โดยรอบสถานประกอบการเพื่อป้องกันฝุ่นจากสถานประกอบการออกไปสู่ภายนอก

กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น และได้เร่งกำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการต่างๆ ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการอย่างเคร่งครัด และการจัดการปัญหานี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากพบว่ามีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือกฎระเบียบ กระทรวงฯจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันที เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม