สภาพัฒน์จับตาหนี้ครัวเรือน พบออมน้อย เป็นหนี้สูงผ่อนนาน

15 ม.ค. 2563 | 03:19 น.

สภาพัฒน์จับตาหนี้ครัวเรือน พบประชาชนออมเงินน้อย เป็นหนี้ในระดับสูงและใช้เวลาผ่อนชำระนาน

ดนุชา  พิชยนันท์

นายดนุชา  พิชยนันท์ รองเลขาธิการวำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ในฐานะโฆษกสำนักงานฯ เปิดเผยว่า จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประจำเดือนธันวาคม 2562 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ส่วนหนึ่งเกิดภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 78.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน อาจทำให้ประชาชนเกิดความกังวล สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการนำเสนอสถานการณ์หนี้ครัวเรือนเป็นส่วนหนึ่งของรายงานภาวะสังคม ซึ่งเผยแพร่เป็นประจำทุกไตรมาส 

 

หนี้สินครัวเรือน ในไตรมาสสอง ปี 2562 มีมูลค่า 13.08 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.8 ชะลอลงจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์เป็นหลัก เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Households debt to GDP) พบว่ามีแนวโน้มทรงตัว จากสัดส่วนที่สูงสุดในปี 2558 ร้อยละ 80.8 ลดลงเป็นร้อยละ 79.3 และ 78.05 ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ และมาอยู่ที่ร้อยละ 78.7 ในไตรมาสสองปี 2562 

 

วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรและเพื่อดำเนินธุรกิจ จากรายงานนโยบายการเงินเดือนธันวาคม 2562 ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 2562 ร้อยละ 58.8 ของหนี้สินครัวเรือนไทยทั้งหมดเป็นการกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย ยานยนต์ และเพื่อประกอบธุรกิจ โดยมีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยร้อยละ 24.4 สินเชื่อยานยนต์ร้อยละ 17.1 และสินเชื่อเพื่อธุรกิจร้อยละ 17.0 ขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนร้อยละ 41.5 ของสินเชื่อครัวเรือนทั้งหมด 

 

 

ภาพรวมคุณภาพสินเชื่อยังคงทรงตัว แต่คุณภาพสินเชื่อบางประเภทจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพื่อการอุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสาม ปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.81 ต่อสินเชื่อรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนร้อยละ 2.74 ในไตรมาสก่อนหน้า  โดยคุณภาพสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และบัตรเครดิตอยู่ในระดับที่ต้องติดตาม 

 

สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนยังเป็นประเด็นที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นผลจากพฤติกรรมของทั้งผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ผู้ปล่อยกู้มีการแข่งขันในระดับสูงทั้งตลาดสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อตลาดรถยนต์ นำไปสู่การเสาะหาผู้กู้ในกลุ่มผู้ที่มีฐานะทางการเงินที่ด้อยลงเรื่อย ๆ โดยมีการออกมาตรการส่งเสริมการขายต่าง ๆ (Promotions) เช่น การผ่อนชำระสินค้าโดยใช้บัตรเครดิตด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งกระตุ้นให้คนหันมาก่อหนี้บัตรเครดิตมากขึ้น ด้านพฤติกรรมของผู้กู้ พบว่า มีการออมที่น้อยทำให้ต้องเป็นหนี้ในระดับสูงและใช้เวลาผ่อนชำระนาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้การซื้อสินค้าสะดวกรวดเร็วขึ้นผ่านการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต กระตุ้นการก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งหากผู้กู้ไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สถานการณ์หนี้ครัวเรือนอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในภาพรวม

 

ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือน และได้ดำเนินมาตรการสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมความรู้ทางการเงินเชิงรุกแบบเน้นกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มอาชีวศึกษา กลุ่มวัยเริ่มทำงาน กลุ่มเด็กและเยาวชน และกลุ่มเกษตรกร สอดคล้องกับผลการศึกษาโครงสร้างของผู้ก่อหนี้และหนี้เสียของไทยที่พบว่า คนไทยในกลุ่มวัยเริ่มทำงานเป็นหนี้มากขึ้นและมีหนี้เสียมากขึ้น 2.การกำกับดูแลให้เกิดการเป็นหนี้อย่างเหมาะสมทั้งในด้านผู้ก่อหนี้และผู้ปล่อยกู้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อหลายประเภท เช่น หลักเกณฑ์สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ หลักเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) การศึกษาการกำหนดมาตรฐานการคำนวณภาระหนี้รวมต่อรายได้ (DSR) และ 3.การช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ  โครงการปรับโครงสร้างหนี้และคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทย การพักชำระหนี้เงินต้นของลูกหนี้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ของธนาคารออมสิน โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้และโครงการขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งและผู้ปลูกข้าวของ ธ.ก.ส.