ยอดใช้สิทธิ์FTA 9 เดือนวูบ 3.41%
คต. เผยภาพรวมการใช้สิทธิ FTA ช่วง 9 เดือน มูลค่า 5หมื่นล้านบาท ลดลง ตามยอดส่งออกรวมของประเทศที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 (ระหว่างเดือนม.ค. - ก.ย.) มีมูลค่า 50,312 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 78.25% ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 64,296 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่าลดลง 3.41% สาเหตุจากยอดการส่งออกในภาพรวมของประเทศที่ลดลง
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA สูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็น 1.อาเซียน มูลค่า 18,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2.จีน มูลค่า 13,757ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3. ออสเตรเลีย มูลค่า 6,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 4. ญี่ปุ่น มูลค่า 5,724ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 5. อินเดีย มูลค่า 3,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่า เปรู มีอัตราการขยายตัวสูงสุดอยู่ที่ 24.65% รองลงมาคือ นิวซีแลนด์ มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.96% และ จีน มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.33%
ขณะที่กรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ไทย-ชิลี 100% 2. อาเซียน-จีน 94.48% 3. ไทย-เปรู 93.11% 4. ไทย-ญี่ปุ่น 89.94% และ 5. อาเซียน-เกาหลี 84.07% โดยรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง และน้ำตาลจากอ้อย
ทั้งนี้แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ในภาพรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแต่ยังมีตลาดศักยภาพในการส่งออกที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง เช่น เปรู ขยายตัวที่ 24.65% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม รถจักรยานยนต์ความจุกระบอกสูบ 250-500 ลบ.ซม. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัว เป็นต้น นิวซีแลนด์ ขยายตัวที่ 4.96% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น เครื่องประดับที่ทำจากเงิน สิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบอื่นๆ แผ่นฟิล์มทำด้วยพลาสติก เป็นต้น 3 จีน ขยายตัวที่ 4.33% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น