นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การมีความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู)ในมุมผู้ส่งออก จะเป็นผลดีต่อไทยมาก เพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยจะไปสู่ระดับเดียวกับเวียดนาม และสิงคโปร์ที่มีเอฟทีเอกับอียูไปแล้ว หากไทยไม่ทำเอฟทีเอกับอียู ก็จะเป็นเพียงประเทศที่รับจ้างผลิตสินค้าให้สิงคโปร์ หรือเวียดนามเท่านั้น
สำหรับสินค้าไทยที่มีศักยภาพสูงและมีโอกาสเติบโตในตลาดอียูหากมีการทำเอฟทีเอ เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอาหารที่การส่งออกไปอียูขยายตัวได้ดีในปีที่ผ่านมา เช่น อาหารสัตว์ขยายตัว 26%, เนื้อปลาทูน่า ขยายตัว 28%, นํ้าปลา ขยายตัว 17%, ซอสพริกขยายตัว 49% หากไทยไม่ทำเอฟทีเอกับอียูในอีก 5 ปีข้างหน้าไทยอาจเสียส่วนแบ่งตลาดอียูให้กับเวียดนามมากยิ่งขึ้น รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพไม่ว่าจะเป็น อาหารและเครื่องดื่ม ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกล
ด้านนายทวีชัย เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า จากการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนในด้านสินค้าพบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้อียูลดการอุดหนุนสินค้าเกษตร โดยให้เพิ่มโควตาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารแทน เช่น เนื้อไก่ ข้าวสี ข้าวหัก มันสำปะหลัง เป็นต้น
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,526 วันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2562