จากกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาประกาศคำสั่งกรมวิชาการเกษตรเรื่อง การแจ้งการครอบครองและการส่งมอบสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติยกเลิกใช้ โดยผู้ที่ครอบครองต้องแจ้งกรมวิชาการเกษตรภายใน 15 วันหลังจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 จากนั้นต้องส่งมอบภายใน 15 วันเพื่อทำลาย นั้น
นายสุวรรณ อ่องคณา ประธานสมาคมปาล์มน้ำมันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากการยกเลิก 3 สารนั้นใช่ แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ก็คือ 1-2 ปี พอปีที่ 3 ปาล์มจะมีลักษณะเป็นพุ่มหญ้าจะน้อยลง ให้ปรับปรุงวิธีคิดในการกำจัดหญ้าใหม่ แต่ผลที่เกิดจากการแบนสารกระทบไปในทางที่ดีของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์ม เพราะน้ำมั่นถั่วเหลืองหากนำเข้ามาไม่ได้จริง เพราะประเทศที่ส่งออกมีสารตกค้าไกลโฟเซตตกค้าง จะทำให้ปาล์มน้ำมันได้ส่วนต่างจากน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งมีมูลค่าตลาด 2 หมื่นล้านแย่งมาได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงเลย
“การแบนก็คือ การกำหนดมาตรฐานให้เป็นวัตถุประเภทที่ 4 หรือในบัญชี 4 ส่วนในบัญชี 3 ยอมให้ปนเปื้อนได้ในอัตราที่ไม่เกินกฎหมายกำหนด แต่พออยู่ในบัญชี 4 อันตรายร้ายแรงปนเปื้อนไม่ได้มีค่าเท่ากับศูนย์ แม้กระทั่ง “บราซิล” ก็ยังยอมรับสารภาพว่าถั่วเหลืองเป็นจีเอ็มโอ แล้วพ่นไกลโฟเซตลงไปด้วย ดังนั้นผลผลิตจึงมีการปนเปื้อน เพราะฉะนั้นในการปนเปื้อนจะถูกงดนำเข้า นี่คือเกษตรกรชาวสวนปาล์มไม่ทราบ”
นายสุวรรณ กล่าวว่า สิ่งที่ควรทำก็คือ จะเข้าไปกระทรวงพาณิชย์เพื่อไปยื่นหนังสือถึงมาตรการเมื่อมีการสั่งเก็บสารเคมีทุกชนิดสั่งให้ทุกคนหยุด หลังวันที่ 1 ธันวาคมให้แจ้งไว้ว่ามีการครอบหลัง วันที่ 15 ธันวาคม จะต้องส่งมอบภายใน 30 ธันวาคม แต่ผลผลิตที่ปนเปื้อนสารเคมีชนิดนั้นจะปล่อยให้ออกมาเป็นยาที่ผสมให้คนรับประทานออกไปไม่เกินกฎหมายกำหนดได้หรือไม่
กล่าวคือ เมื่อห้ามนำเข้าถั่วเหลืองทีมีสารตกค้าง แต่สิ่งที่มีอยู่ (สารตกค้างในถั่วเหลือง) ในประเทศไทยก็ต้องหยุด เอาออกไปจากระบบการขายตลาดหรือชั้นวางทั้งหมด นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ เช่นเดียวกับที่กรมวิชาการเกษตรสั่งเกษตรกร บริษัท ที่มีสารไว้ครอบครองจะต้องส่งคืน นั้นจะต้องส่งมอบ ไม่เช่นนั้นจะผิดกฎหมาย