กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

22 พ.ย. 2562 | 07:15 น.

นายกโรงสีฯ โอดโครงการชดเชยดอกเบี้ยมาช้า หลายโรงอาจจะวืดเข้าร่วม อ้อนขยายเวลาเพิ่ม ขณะที่การค้าข้าวโลกเปลี่ยน เตือนทุกฝ่ายเร่งปรับตัว ผวาเสียตลาดข้าวถาวรให้คู่แข่ง ลามชิ่งกระทบชาวนา

สืบเนื่องจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงการรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต2562/63  ทางสมาคมโรงสีข้าวไทย คิดเห็นกับมาตรการนี้อย่างไรนั้น

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เผยกับ ฐานเศรษฐกิจโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกในปีการผลิต 61/62 นั้น มีผู้เข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเปลือกสูงสุดจำนวน 194 ราย ปริมาณเก็บสต๊อกสูงสุดของแต่ละจังหวัดรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.221 ล้านตัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 64.42 ของเป้าหมาย 5 ล้านตัน มูลค่าการเก็บสต๊อกสูงสุด อยู่ที่จำนวน 43,403.77 ล้านบาท 

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

"ดังนั้นจึงคาดว่าโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกในปีการผลิต 62/63 มีเป้าหมาย 4 ล้านตัน ที่ทางคณะอนุกรรมการพิจารณาได้ประกาศออกมาในขณะนี้นั้นก็น่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาและอาจมีจำนวนผู้ประกอบเข้าร่วมมากขึ้นกว่าเดิม"

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า จากการศึกษาข้อกำหนดของการพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการในปี 62/63 นี้ ในเรื่องของระยะเวลาการขอยื่นเรื่องเข้าร่วมโครงการ  ซึ่งได้ระบุว่าผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องขอยื่นความประสงค์ภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ซึ่ง ณ วันที่ประกาศออกหรือวันที่ประกาศให้ผู้ประกอบการรับรู้รับทราบ คือวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 นั้น  ถือว่ากรอบเวลาในการยื่นขอนั้นค่อนข้างสั้น ผู้ประกอบการบางรายที่ประสงค์จะเข้าร่วมอาจดำเนินการไม่ทันและเสียโอกาสในครั้งนี้ก็เป็นได้ ซึ่งหากมีความเป็นไปได้ก็ควรที่จะประเมินสถานการณ์ว่าจะมีผู้ยื่นความประสงค์มากน้อยเพียงใด และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะกำหนดให้มีการยืดหยุ่นหรือขยายกรอบดังกล่าวนั้น อย่างไรก็ดีขณะนี้ก็อยู่ในช่วงปลายฤดูเก็เกี่ยวแล้วและภายในไม่กี่สัปดาห์ผลผลิตและการเก็บเกี่ยวก็จะน้อยลง และเบาบางลงตามลำดับ

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป
“ส่วนสถานการณ์ข้าวเหนียวจากที่มีการปรับตัวลงมารุนแรงมากในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ในขณะนี้ราคาข้าวเหนียวก็เริ่มที่จะปรับตัวขึ้น ข้าวเกี่ยวสดจากเดิมลงมาถึง 10,000 บาท/ตัน แต่ขณะนี้ก็ได้มีการปรับขึ้นไปเป็น 11,500-12,500 บาท/ตัน โดนขณะนี้ทางภาคอีสานเริ่มที่จะเก็บเกี่ยว กข6 และ ภาคเหนือก็เริ่มที่จะเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวพันธุ์สันป่าตอง และคาดว่าเก็บเกี่ยวนี้คงจะไม่ยืดเยื้อ และภายในสิ้นเดือนนี้ก็คงจะเบาบางลงอย่างมากแล้ว  ส่วนราคาข้าวสารเหนียวในขณะนี้ก็ได้ปรับตัวขึ้น จาก 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ราคาตันละ 25,000-27,000 บาท มาเป็น 32,000-35,000 บาท/ตันแล้ว

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิเกี่ยวสดที่ก่อนหน้านี้ได้ปรับตัวลงอยู่ที่ 11,000-12,000 บาท/ตัน ปัจจุบันถึงแม้จะมีราคายืนแต่ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงราคาข้าวสารก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากข้าวหอมมะลินั้นมีเวลาเก็บเกี่ยวไม่นานนัก คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้ก็จะบางตาลงมาก  รวมถึงขณะนี้เกษตรกรส่วนหนึ่งก็เริ่มตากเก็บเข้ายุ้งฉางชะลอการขาย โดยจากปัจจัยต่างๆทั้งหมดก็คาดว่าสถานการณ์ราคาก็น่าที่จะปรับตัวดีขึ้นตามกลไกตลาดและสอดคล้องไปกับนโยบายคู่ขนานอีกส่วนหนึ่งของรัฐบาล

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

แต่ในส่วนของกลุ่มข้าวขาว5% และข้าวหอมปทุมธานีนั้นยังคงน่าเป็นห่วงอยู่เพราะว่าราคาปรับตัวลดลงและยืนนิ่งมานานต่อเนื่องโดยไม่มีปัจจัยบวกใดๆเข้ามาช่วยดันราคาขึ้น จนมองว่าสถานการณ์ของข้าว 2 ชนิดนี้นั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วงมาก สิ่งที่ยังคงน่าเป็นห่วงที่สุดและน่าที่จะต้องนำมาวิเคราะห์ปรับตัวต่อคือ ในปีนี้ประเทศไทยส่งออกในภาพรวมอยู่ที่ 8 ล้านตัน

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

“หมายความว่าประเทศไทยเสียส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 1-2 ล้านตัน ซึ่งถือว่าสูงมาก จากโดยเฉลี่ยไทยส่งออกปกติปีละ 9-10 ล้านตัน  ในขณะนี้ที่ปริมาณการค้าและการบริโภคของตลาดโลกรวมนั้นไม่ได้ลดลงเลย  ภายในสิ้นปีนี้จะต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าตัวเลขทั้งปริมาณและมูลค่าข้าวชนิดไหนที่เราส่งออกได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เพื่อที่จะนำผลการวิเคราะห์มาวางแผนกลยุทธ์ในการปรับตัวและผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดสำหรับปีต่อๆไป”

กู้วิกฤติค้าข้าวโลกก่อนจะสายเกินไป

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวย้ำว่าหากเพิกเฉยและปล่อยผ่านให้เป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไม่มีการวิเคราะห์และพัฒนาในสิ่งที่จำเป็นที่เน้นมาตลอดจะเสียโอกาสทางการค้าในระยะยาว เพราะจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่ค่อนข้างมีผลกระทบรุนแรงจนส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างมาก ก็น่าที่จะมีผลให้ทุกภาคส่วนหันมาตื่นตัวและตระหนักในเรื่องนี้กันให้มากขึ้นอย่างจริงได้แล้ว