มั่นใจรัฐเอาอยู่ "ฟองสบู่อสังหาฯ"

15 พ.ย. 2562 | 07:40 น.

พาณิชย์แจงผลการสำรวจของ  WEF ระบุความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจไทย มั่นใจมาตรการรัฐบาลป้องกันแล้วหลายด้าน เศรษฐกิจไทยรับมือได้  ขณะที่ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ไทยไม่น่ากังวล จากรัฐบาลมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอสังหาฯ ที่ค่อนข้างเข้มงวด มั่นใจเอาอยู่

 

 นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง กรณีที่ World Economic Forum : WEF หรือสภาธุรกิจโลก ได้ศึกษาเรื่องความเสี่ยงในระดับโลกและระดับภูมิภาคในการทำธุรกิจ (Regional Risk of Doing Business 2562) ว่า ตามที่ WEF ทำการจัดลำดับความสามารถทางการแข่งขัน ปี 2562 โดยไทยมีดัชนีความสามารถทางการแข่งขันที่ดีขึ้นจากปี 2561 เดิม 67.5 คะแนนเป็น 68.1 คะแนนและอยู่ในอันดับที่ 40 ของโลก จากทั้งหมด 141 ประเทศ ซึ่งในขณะเดียวกันได้จัดทำรายงานความเสี่ยงโลก (Global Risk Report) ทุกปีด้วยเช่นกัน

 

 โดยการสอบถามความคิดเห็น (Opinion Survey) ของผู้นำภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับคาดการณ์ในอนาคต ไม่ใช่ถามถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงแล้ว และวิเคราะห์เป็นรายภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชนและภาครัฐเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ 2. กระตุ้นให้ทุกฝ่ายเตรียมการรองรับในระยะยาว และ 3. เพื่อสร้างความร่วมมือกันในระดับโลกและระดับภูมิภาคมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงหลายอย่าง อาจจะต้องอาศัยความร่วมกันของภูมิภาคและโลก เช่น ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้  

 

ผลการสำรวจความคิดเห็นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (รวมถึงประเทศไทย) ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นอันดับ 1 เพราะหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งแผ่นดินไหนและสึนามิ ส่งผลกระทบแก่ประชากรกว่า 50 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 56.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความเสี่ยงอันดับที่ 2 คือ เรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีการลักลอบเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลในสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ บ่อยครั้งขึ้น ลำดับรองลงมา (ประมาณร้อยละ 30) คือ เรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ของเกาหลีเหนือ หรือ แรงกดดันจากสถานการณ์ของสหรัฐ-จีน เป็นต้น

มั่นใจรัฐเอาอยู่ "ฟองสบู่อสังหาฯ"

 

 

 จากผลการสำรวจของไทยที่กล่าวถึงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่กังวลว่าราคาอสังหาริมทรัพย์สูงเกินไป แต่เกิดจากความกังวลว่าดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มต่ำอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้อสังหาริมทรัพย์ออกมาล้นตลาด (oversupply) ซึ่งประเด็นนี้รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว จะเห็นได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างเข้มงวดออกมานานพอสมควร จึงไม่น่าจะต้องกังวลในระยะต่อไป

 

สำหรับประเด็นความกังวลเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลนั้น ในช่วงที่ทำการสำรวจความเห็นเป็นช่วงที่ไทยกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล แต่ในขณะนี้ รัฐบาลจัดตั้งเรียบร้อย มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจน และได้ดำเนินนโยบายและขับเคลื่อนด้านต่าง ๆ มาเป็นรูปธรรมตามลำดับ การมีเสถียรภาพจึงไม่น่าจะเป็นปัจจัยความเสี่ยงในระยะต่อไป

 

ในด้าน Cyber attack ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และมีความพยายามในการป้องกันปัญหามาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับเรื่องปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ที่รัฐบาลเดินหน้าเรื่องการลดการใช้พลาสติก ฟื้นฟูทะเลและสภาพแวดล้อมในที่ต่าง ๆ การสนับสนุนให้ใช้พลังงานทางเลือก การอนุญาตติดโซลาร์เซลล์ที่บ้านและที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น และนโยบายอื่น ๆ แต่ทั้งสองประเด็นความเสี่ยงนี้ ไทยอาจจะเพิ่มความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคมากขึ้นได้ เพราะสามารถเรียนรู้และช่วยกันป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นข้ามพรมแดนได้

มั่นใจรัฐเอาอยู่ "ฟองสบู่อสังหาฯ"

 

สุดท้ายคือความเสี่ยงทางด้านสังคม ตรงนี้ต้องถือว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับการดูและกลุ่มต่าง ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงมาก เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร มานานแล้ว จะเห็นได้ว่า นโยบายที่ดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ทั้งการเพิ่มรายได้ผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการประชารัฐ โครงการ ชิม ช้อป ใช้ การสนับสนุนด้านการออมเงินของประชาชน ไปถึงนโยบายประกันรายได้ของสินค้าเกษตรสำคัญ ที่ได้ดำเนินการมาอย่างเป็นรูปธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการที่จะลดความเสี่ยงทางด้านสังคมของไทย และจะเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในทุกหน่วยงานต่อไป จึงน่าจะลดความเสี่ยงลงไปได้อย่างมาก

 

ส่วนประเด็นความเสี่ยงที่ WEF ได้จากการสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจนั้น ถือเป็นประเด็นที่เตือนล่วงหน้า (early warning) ให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวทางรองรับและป้องกัน ซึ่งในส่วนของไทย หลายด้านได้มีมาตรการออกมาล่วงหน้าแล้ว และอีกบางด้านก็กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้ ถือว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ที่จะทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งความเข้มแข็งของเศรษฐกิจมหภาค ความสามารถและศักยภาพในการปรับตัวของผู้ส่งออกและผู้ประกอบการของไทย แนวนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและSME  การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และนโยบายที่จะเดินหน้าพัฒนาภาคบริการใหม่ๆ ที่จะเป็นกลไกสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นให้คนไทยและเศรษฐกิจไทย เช่น ดิจิทัล ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และ Wellness

 

ดังนั้นประเด็นความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจของไทย ถือว่ารัฐบาลรับมือไว้แล้ว จึงไม่น่ามีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตต่อไปได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้ วิธีการที่ WEF ใช้ในการสำรวจความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจ เป็นลักษณะสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารภาคธุรกิจ โดยให้เลือกจาก 30 ปัจจัยความเสี่ยงที่คาดการณ์ว่าภายใน 10 ปี จะมีความเสี่ยงอะไรที่สำคัญในภูมิภาคนั้น ๆ ที่ธุรกิจต้องติดตาม ซึ่งไม่ได้แปลว่าเกิดปัญหานั้นขึ้นแล้วจริง ๆ แต่เป็นระบบการเตือนภัยให้ต้องหาทางรับมือ รวมถึงไม่ได้ประเมินโอกาส  (probability) หรือขนาด (magnitude) ของความเสียหายหากความเสี่ยงประเภทนั้นเกิดขึ้น และผลการสำรวจจะขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาคจะให้ความสำคัญกับประเด็นไหน ก็แล้วแต่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนั้น โดยประเทศไทยยังคงต้องศึกษาและติดตามประเด็นต่าง ๆ เพื่อรักษาและขยายความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและฐานะการเงินของประเทศที่ยังดีอยู่ให้เดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่มีทิศทางที่ชัดเจน และมีการดำเนินการเป็นรูปธรรม