‘จุรินทร์’ ใจปล้ำเปิดรับเกษตรกรชาวสวนใหม่ให้เข้าร่วมโครงการควบเคาะจ่ายเร็วขึ้น โดยเฉลี่ย 6 เดือนตั้งราคากลางชดเชยจ่ายงวดแรกในวันที่ 1-15 พ.ย.นี้ ด้านผู้แทนเครือข่ายอีสาน-เหนือเซ็งขออัพราคาเพิ่มน้ำยางก้อนถ้วย 25 บาท/กก. โวย กยท.อ้างสารพัดยืนพื้นไม่ยอมถอย เดือดบุกกรุงจี้คาใจจุดยืนรักษาการผู้ว่าฯจริงใจกับชาวสวนหรือไม่
“ยางพารา” เป็นสินค้าเกษตรชนิดที่ 3 รัฐบาลภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 ยังคงเดินหน้าทำตามสัญญาโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางมีมติคืออนุมัติการประกันรายได้ยางพาราในยาง 3 ชนิด คือ ยางแผ่นดิบราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยางสด 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย 23 บาทต่อกิโลกรัม ของสวนยางที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 25 ไร่
วันที่ 4 ต.ค.62 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2562 ที่ประชุมเห็นชอบตามการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)เสนอชดเชยประกันตามที่เสนอ 3 ชนิด กรอบวงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท
“เกษตรกรที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนยังสามารถขึ้นทะเบียนได้ เมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว และคณะกรรมการระดับตำบลและการยางแห่งประเทศไทยจะต้องตรวจสอบว่าปลูกจริงหรือไม่ ยางชนิดไหน รัฐบาลใช้งบประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท จากนี้ก็จะนำมตินี้เสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงาน สามฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ตัวแทนเกษตรกร เพื่อหาแนวทางการสร้างสวนยางที่ยั่งยืน ควบคู่เร่งรัดการส่งออกยางที่จีน และอินเดีย รวมทั้งมอบให้การยางแห่งประเทศไทยนำยางไปขายด้วย โดยสามารถร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ได้การจ่ายเงินงวดแรกให้เร็วกว่าเดิมจากที่กำหนดไว้วันที่ 15 ธ.ค.2562 ร่นมาเป็นระหว่างวันที่ 1-15 พ.ย.นี้ เนื่องจากโครงการประกันรายได้ยางพารายังต้องมีคณะกรรมการระดับตำบลเป็นผู้ตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง จะได้สามารถเทียบเคียงกับสินค้าเกษตรอื่นๆที่รัฐบาลประกันรายได้ และต้องปรับราคาอ้างอิงเป็นราคาก่อนหน้านี้
คือ ราคาระหว่างเดือนเมษายน 62 - กันยายน 2562 จากนั้นจ่ายงวดสอง 1-15 มกราคม 2563 งวดสาม 1-15 มีนาคม 2563โดยมีกระบวนการคือ กยท (การยางแห่งประเทศไทย)ต้องตรวจสอบความถูกต้อง เสร็จแล้วส่งผลให้ ธกส ซึ่งจะใช้เวลา 3 วันจะโอนเงินทันที ดังนั้น กยท ต้องตรวจสอบเสร็จภายในวันที่ 12 โดยในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหามาตรการนี้ต้องให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ก่อนนำเสนอบอร์ด ธกส เพื่อเห็นชอบก่อนภายใน 24-25 ตค.นี้
อย่างไรก็ดีในที่ประชุมยังมีการอัดสินเชื่อผู้ประกอบการยาง/สถาบันเกษตรกร อาทิ 1.การอนุมัติขยายวงเงินสินเชื่อและปรับปรุงวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท
2.การอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการ (ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท การอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการ3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท การอนุมัติขยายระยะเวลาและปรับปรุงวิธีการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ
ขณะที่นายสวัสดิ์ ลาดปาละ รองประธานคณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง กยท.ระดับประเทศและประธานสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ในที่ประชุมทางเครือข่ายฯ พยายามต่อรองโดยเฉพาะผู้ผลิตยางทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอต่อรองราคาใหม่ที่ 25 บาท/กก.
ทาง กยท.อ้างต้นทุน สูตรคำนวณต่างๆ แล้ว เป็นไปตามธงที่ กยท.กำหนด ในเร็วๆนี้ ทางเครือข่ายจะมีการรวมตัวกันบุกกรุงเพื่อถามความจริงใจของผู้ว่าการ กยท.ถึงความจริงใจที่จะช่วยชาวสวนยางจริงหรือไม่ ทำไมราคาให้ถึงห่างกันเกินไป
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปริมาณการผลิตยางพาราของไทยตั้งแต่ปี 2557 - 2562 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 4.345 ล้านตันในปี 2557 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2561 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.944 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.73 ต่อปี มีเนื้อที่กรีดยางเพิ่มขึ้นเป็น 20.46 ล้านไร่ ผลผลิตต่อไร่ต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 245 กก./ไร่/ปี หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.13 ต่อปี
นอกจากนี้ ปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศระหว่างปี 2557 - 2562 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปี 2562 จะเพิ่มเป็น 0.80 ล้านตัน เนื่องจากมีการขยายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ ทั้งอุตสาหกรรมยางล้อและอุตสาหกรรมถุงมือยาง อีกทั้งภาครัฐยังส่งเสริม/สนับสนุนให้นำยางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในประเทศ และผลจากโครงการเพิ่มการใช้ยางในประเทศ เช่น โครงการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยในปี 2562 นี้ (มกราคม - กรกฎาคม) เมื่อเทียบกับปี 2561 ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า มีการส่งออกลดลง 505,099 ตัน หรือร้อยละ 19.92 เนื่องจากในปี 2562 มีปริมาณผลผลิตลดลง จากปรากฏการเอลนิลโญและผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อีกทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้ยางหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วนต่อการส่งออกทั้งหมด ร้อยละ 39.22 ร้อยละ 13.36 ร้อยละ 8.34 และร้อยละ 7.80 ตามลำดับ
อนึ่ง กยท.รายงานข้อมูลผู้ที่ขึ้นทะเบียน และแจ้งข้อมูลพื้นที่ ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2562 ซึ่งในเบื้องต้นมีเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 1,711,252 ราย (เจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทำ 1,412,017 ราย และคนกรีดยาง 299,235 ราย) คิดเป็นพื้นที่ 17,201,391 ไร่ โดยเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ที่ปริมาณผลผลิตยาง (ยางแห้ง) 240 กก./ไร่/ปี หรือ 20 กก./ไร่/เดือน
กำหนดระยะเวลาประกันรายได้ 6 เดือน (ตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563) ซึ่งเงินประกันรายได้ในแต่ละเดือน จะถูกแบ่งระหว่างเกษตรกรเจ้าของสวนยางและคนกรีดยางในสัดส่วน 60 : 40 ราคายางที่ใช้ประกันรายได้ กำหนดจากราคาต้นทุนการผลิตยางแต่ละชนิด โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2561 และเพิ่มรายได้เป็นค่าครองชีพอีก ร้อยละ 7.39