สุริยะชี้การเข้ามารับตำแหน่งรอบนี้ผู้บริหารกระทรวงต้องทำงานหนักกว่าทุกครั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ระบุภายใน 100 วันจะเห็นผลงานอย่างเป็นรูปธรรม แย้มหารือ ธปท. ผ่อนปรนเกณฑ์เครดิตบูโรช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงิน เชื่อครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจดีขึ้น
วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ตามจุดต่างๆก่อนที่จะประชุมหารือกับผู้บริหารประจำกระทรวง หลังจากนั้นจึงเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมภาษณ์
นายสุริยะ บอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่ตนมีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมองว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงจะต้องทำงานกันอย่างหนักที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งทำให้ไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย โดยตัวเลขเศรษฐกิจของจีนมีอัตราจีดีพีตกต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี ขณะที่สิงคโปร์ตกต่ำที่สุดในรอบ 10ปี แต่ตนได้มีการศึกษาและปรึกษากับผู้บริหารระดับสูงในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตนได้เห็นยุทธศาสตร์ที่ทางกระทรวงได้เตรียมไว้รองรับวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S Curve จาก 5 ด้านเป็น 12 ด้าน เรื่องการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) เรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสิ่งดังกล่าวเหล่านี้เป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม แต่ยุทธศาสตร์จะดีอย่างไร สิ่งที่สำคัญจะต้องมาจากภาคปฏิบัติที่จะนำยุทธศาสตร์ไปทำให้เห็นผลได้จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมคงไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่จะขับเคลื่อน จะต้องเข้าไปหารือกับสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเองก็จะต้องเข้ามาช่วยดูแลในภาพรวมด้วย
นายสุริยะ กล่าวต่อไปว่า ภายในระยะเวลา 100 วันเชื่อว่าจะเห็นผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องต่างๆที่จะเข้าไปดำเนินการ โดยในส่วนของการช่วยเหลือเอสเอ็มอีนั้น ณ ขณะนี้เท่าที่ทราบเอสเอ็มอีบางบริษัทต้องการที่จะดำเนินกิจการต่อ แต่ติดเรื่องของกฎเกณฑ์ในการขอสินเชื่อ หรือมีชื่อติดอยู่ในบัญชีของเครดิตบูโร โดยจะต้องดูว่าจะสามารถทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีที่สามารถจัดการหนี้สินได้แล้วสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะสามารถผ่อนปรนกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้ได้อย่างไรบ้าง เช่นเดียวกับสถาบันการเงิน โดยจะต้องเข้าไปดูว่าจะให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้อย่างไร
“จะเห็นว่าตามปกติเวลาที่เอสเอ็มอีไปกู้กับธนาคารขนาดใหญ่จะไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ก็จะต้องมาที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ ธพว. (SME D Bank) หากดูที่ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แม้ว่าจะสูง แต่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปจะมีความแตกต่าง เพราะเมื่อเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเป็นหนี้เสีย 100 ล้านบาทก็จะเสียหายทั้ง 100 ล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันเอสเอ็มอีที่ปล่อยแล้วรอด ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปไม่สามารถคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หนี้เสียแล้วก็คือเสียเลย แต่หากเป็น ธพว. หากเอสเอ็มอีทำธุรกิจรอดบริษัทเหล่านั้นก็จะจ่ายภาษีให้รัฐบาล มีการจ้างงาน ซึ่งมีความแตกต่างกันหลายเท่าตัว ด้านกองทุนเอสเอ็มอีที่มีอยู่เป็นจำนวนมากของกระทรวงอุตสาหกรรม หลังจากนี้จะต้องเข้าไปพิจารณา และศึกษาหาแนวทางเพื่อนำเงินในส่วนดังกล่าวเหล่านั้นมาสนับสนุนเอสเอ็มอีให้ได้มากขึ้น”
นายสุริยะ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของนโยบายในการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC)นั้น มีความพยายามที่จะกำหนดเงื่อนไขให้โครงการขนาดใหญ่ใช้ผลผลิตในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ โดยเรื่องดังกล่าวนี้จะต้อเข้าไปดูเงื่อนไข กฎหมายหรือระเบียบต่างๆว่าหากทำตามที่เอกชนเสนอให้ใช้ 50-60% จะสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร จะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับภาคเอกชนเกินไปหรือไม่ หรือจะหาแนวทางในการช่วยเหลือ หรือชดเชยให้กับบริษัทที่ใช้ผลผลิตในประเทศเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
“อีอีซีเป็นพื้นที่ที่พนักงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีรายได้สูงกว่าผู้ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพราะฉะนั้นจะต้องไปดูว่าจะผลักดันไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่างไรบ้าง ดูว่าภูมิภาคไหนที่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้ต้องปรึกษานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ว่าจะดำเนินการอย่างไรในภาพรวม โดยมองว่าภูมิภาคที่ควรเข้าไปดำเนินการน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้อยู่”
ด้านการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเข้าสู่ 4.0 นั้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งแผนระยะสั้น และระยะยาว โดยถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนเรื่องหนึ่งที่กระทรวงจะต้องดำเนินการ ซึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือการใช้นวัตกรรมใหม่เข้ามาเชื่อมโยง โดยปัจจุบันนักธุรกิจรุ่นใหม่ต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม หากได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรม เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยยั่งยืนได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีหลากหลายแนวทางที่ถูกนำเสนอเข้ามาเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ
ส่วนนโยบายทางด้านสินค้าเกษตรนั้น มาตรการชัดเจนที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะมีส่วนเข้าไปผลักดันอุตสาหกรรมเกษตร จะต้องมีการแปรรูป โดยคงต้องขอเวลาเพื่อทำออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนเรื่องราคาอ้อยทางคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลได้มีการหารือกันบ้าง แต่ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร
นายสุริยะ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังด้วยว่า ที่ผ่านมาการลงทุนชะงักจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่ใช้ระยะเวลานานภายหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งแล้ว โดยมีผลทำเอกชนรอท่าทีของรัฐบาลใหม่ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าหลังจากแถลงนโยบายแล้ว มีนโยบายชัดเจนแล้ว จะสามารถดึงนักลงทุนให้กลับมาได้ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าประเทศไทยเป็นประเทศในอาเซียนที่ต้องการเข้ามาลงทุนมากที่สุด
ขณะที่ประเด็นเรื่องผังเมืองอีอีซีที่กลุ่ม EEC Watch กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เผยแพร่แถลงการณ์กลุ่มปฏิบัติการหยุดผังเมืองEEC ซึ่งมีสาระสำคัญได้เรียกร้องให้ 1. คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยุติการดำเนินการเพื่อประกาศใช้ผังเมือง EEC 2. รัฐบาลต้องสั่งให้มีการทบทวนการจัดทำเมือง EEC ใหม่ตั้งแต่ต้นโดยให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Meaningful Public Participation) นั้น เท่าที่ได้มีการศึกษาคงจะต้องมีการแบ่งชัดเจนว่าตรงไหนเป็นจุดที่ลงทุน ตรงไหนเป็นเขตของที่อยู่อาศัย แผนตรงนี้น่าจะมีกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มาก แต่สิ่งสำคัญที่ต้องการจะเน้นก็คือ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมจะต้องให้สามารถอยู่กับชุมชนได้ด้วย ซึ่งภาคอุตสาหกรรมเองก็ไม่ต้องการให้กระทบกับชุมชน ส่วนจะมีการทำประชาพิจารณ์ใหม่หรือไม่ คงต้องดูก่อนว่ามีปัญหาอย่างไร
นายสุริยะ ยังได้เน้นย้ำประเด็นเรื่องกากขยะอุตสาหกรรมด้วยว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องให้ความสนใจ เพราะเรามีขยะพิษที่เกิดจากในประเทศเอง ขยะพิษจากต่างประเทศที่เอามาใช้ในประเทศไทยเป็นที่ทิ้งขยะ ประเด็นดังกล่าวนี้ต้องประสานกับองค์กรต่างๆ เพื่อหามาตรการที่ชัดเจน ซึ่งจะต้องเพิ่มความเข้มข้นอย่างแน่นอน เพราะเป็นปัญหาหลักที่กระทบกับเรื่องของสุขภาพ และทุกด้าน