นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้วางเป้าหมายในการเติบโตทางธุรกิจผ่านการดำเนินงานใน 5 ธุรกิจหลักของ GULF ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน และก๊าซแอลเอ็นจี โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น เป็นการต่อยอดจากโครงการเดิม และการเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเวียดนาม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีอีกมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนในยุโรปภายใน 20 ปีข้างหน้า จะมีการพัฒนาถึง 400,000 เมกะวัตต์ และในสหรัฐ 100,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ในเวียดนาม คาดสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าก๊าซ อีก 40,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนจะใช้เงินลงทุนราว 1 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายการเติบโตของธุรกิจ
ขณะที่ปี 2564 คาดว่าจะใช้เงินราว 3-4 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการที่มีอยู่ และโครงการใหม่ เช่น M&Aโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (LNG-to-Power) เป็นต้น และบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ราว 1-2 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญเม็ดเงินลงทุนดังกล่าว จะนำมาใช้สำหรับการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6,409 เมกะวัตต์ และคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะเพิ่มเป็น 7,903 เมกะวัตต์
จากนั้นในปี 2570 มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 14,304 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นโครงการที่ลงนามซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA แล้ว โดยจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP ที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว กำลังการผลิตรวม 11,172 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 78%, โรงไฟฟ้า SPP รวม 2,394 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 17% และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 738 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 5% คิดเป็น CAGR 10.4% ขณะที่ปี 2573 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า Power Generation อยู่ที่ 70% และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 30% โดยจะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (Hydro Power Projects) ที่สปป.ลาว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในครึ่งปีหลังนี้ สำหรับในปีนี้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 7,903 เมกะวัตต์ ภายใต้โครงการของบริษัทสามารถจ่ายไฟฟ้าหรือ COD ได้ทั้งหมด บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 35,833 ล้านบาท และจะทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มถึงระดับ 4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตที่ 50% ทั้งนี้ เนื่องจากมีการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์หรือ COD โรงไฟฟ้าเพิ่มอีก แบ่งเป็น โรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 2,650 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มทยอย COD ในเดือน มี.ค.64 และต.ค.2564
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ขนาด 30 เมกะวัตต์ในเดือน พ.ค.นี้ และ 98 เมกะวัตต์จะเปิดดำเนินการในเดือน ต.ค.2564 โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่ 1 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ จะเปิด COD ในไตรมาส 2/2564 โรงไฟฟ้า GNC เป็น 1 ใน 12 SPP ที่ได้เซ็นสัญญาณความร่วมมือกับเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี เพื่อขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าในนิคมกำลังการผลิต 35 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป และโครงการโซลาร์รูฟท็อปของ Gulf 1 ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งมีแผนการลงนาม PPA อีก 200 เมกะวัตต์ในปีนี้ และทยอย COD บางส่วนตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป จะช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้อีกทั้งในปี 2564 บริษัทยังรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปี จากโครงการโรงไฟฟ้า Biomass Power Project กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ที่อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งได้เปิด COD ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 โรงไฟฟ้าลมในทะเล BKR2 และ โครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ PTT NGD ที่บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 40% ในเดือน ธ.ค.2563 ประกอบกับรับรู้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น INTUCH และ SPCG ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษา ได้แก่ โครงการ LNG-to-Power ที่ประเทศเวียดนาม โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนที่ สปป.ลาวจำนวน 3 เขื่อน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2564 และยังศึกษาโอกาสทางด้านพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ยุโรป อเมริกา หรือเวียดนามขณะที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมีโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 คาดว่าจะเซ็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในไตรมาส 2/2564 ซึ่งตามแผนงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะมีการถมทะเลใช้เวลา 2 ปี และจากนั้นบริษัทจะเข้าไปทำการก่อสร้างท่าเทียบเรือ โดยใช้ระยะเวลา 2 ปี คาดว่าท่าเทียบเรือ F1 จะแล้วเสร็จได้ในปี 2568 ส่วนท่าเทียบเรือ F2 จะแล้วเสร็จปี 2572 และยังมีโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะเซ็นสัญญา PPP ได้ช่วงไตรมาส 2/2564
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij