SCทุ่ม 2.8 พันล.ผุดคลังนํ้ามัน เปิดทางให้ผู้ค้ามีทางเลือกเช่าเก็บทั้งนํ้ามันและแอลพีจี

06 ก.ย. 2559 | 09:00 น.
เอสซีกรุ๊ป เตรียมทุ่ม 1.3 หมื่นล้านบาท ลุยโครงสร้างพื้นฐานนํ้ามัน-แอลพีจี ล่าสุดอนุมัติลงทุนคลังนํ้ามันมาบตาพุดขนาด 115 ล้านลิตรมูลค่า 2 พันล้านบาท และคลังแอลพีจีที่สุราษฎร์ 1 พันตัน มูลค่ากว่า 800ล้านบาท รองรับนโยบายเปิดนำเข้าเสรีปีหน้า ชี้เป็นทางเลือกมาตรา 7เช่าคลังขยายตลาดแอลพีจีในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่โครงการท่อส่งนํ้ามันเส้นอีสาน 1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าตามแผนคาดเสร็จปี 2563

นายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท เอส ซี เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตโครงการคลังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ในพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี ขนาด 1 พันตัน ใช้เงินลงทุนกว่า 800 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2561 เพื่อรองรับกลุ่มผู้ค้าแอลพีจีมาตรา 7 ที่มีแผนนำเข้าแอลพีจี หลังจากกระทรวงพลังงานเตรียมจะเปิดให้มีการนำเข้าแอลพีจีเสรีภายในต้นปี 2560

ทั้งนี้ การลงทุนคลังแอลพีจีที่สุราษฎร์ฯ ดังกล่าว เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ค้าแอลพีจีมาตรา 7 ที่ต้องการขยายตลาดในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันมีเพียง 2 ราย ได้แก่บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และสยามแก๊ส ขณะเดียวกันเชื่อว่าภายหลังจากกระทรวงพลังงานเปิดนำเข้าแอลพีจีเสรีแล้ว ผู้ค้ามาตรา 7 จะมีความต้องการใช้คลังแอลพีจีเพื่อเก็บแอลพีจีมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีคลังแอลพีจีที่บางปะกง ขนาด 1 หมื่นตัน ซึ่งยังมีพื้นที่เหลืออีกประมาณ 50% ที่จะสามารถรองรับลูกค้าเพิ่มได้อีก

นอกจาก บริษัทยังมีแผนลงทุนคลังเก็บน้ำมันในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ขนาด 115 ล้านลิตร คาดใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยคลังน้ำมันดังกล่าวจะรองรับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่น่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ผู้ประกอบการโรงกลั่นบางรายไม่สามารถขยายพื้นที่ของตนเองได้ จึงจำเป็นต้องเช่าคลังเอกชนแทน โดยตามแผนคลังน้ำมันที่มาบตาพุดจะแล้วเสร็จประมาณปี 2562

ขณะเดียวกันบริษัท ไทย ไปป์ไลน์เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ในกลุ่มเอสซี อยู่ระหว่างลงทุนโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะทำการต่อขยายท่อน้ำมันจากระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อที่มีอยู่เดิมของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) ที่คลังน้ำมันอ.เสาไห้ จ.สระบุรี ไปยังคลังน้ำมันปลายทางที่จ.ขอนแก่น เป็นระยะทาง 350 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท โดยหลังจากนี้บริษัทจะไปดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ต่อไป และคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2561 และเปิดใช้งานได้ปลายปี 2563

"ในช่วง 1-2 ปีนี้ บริษัทสนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพิ่มขึ้น จากเดิมเน้นธุรกิจด้านโลจิสติกส์เป็นหลัก โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท สำหรับลงทุนคลังน้ำมัน คลังแอลพีจี และท่อส่งน้ำมันเส้นอีสาน ส่วนหนึ่งก็เพื่อรองรับธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อแทนรถบรรทุก ขณะที่คลังแอลพีจีก็จะสร้างไว้เพื่อรองรับนโยบายนำเข้าแอลพีจีเสรี ซึ่งส่วนตัวมองว่าจะมีผู้ค้าแอลพีจีมาตรา 7 รายอื่นที่นอกเหนือจาก ปตท. สนใจนำเข้าแอลพีจีเองในอนาคต แต่อาจไม่อยากลงทุนคลัง ก็จะเป็นลักษณะเช่าแทน ดังนั้นบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ค้าแอลพีจีหลายรายที่สนใจเช่าคลังแอลพีจีของบริษัท"

นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี กรรมการผู้จัดการบริษัทไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) เปิดเผยว่า โครงการคลังแอลพีจีของกลุ่มเอสซี เดิมจะรองรับแอลพีจีนำเข้า แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คือปริมาณการนำเข้าลดลงมาก และบางเดือนอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้า ดังนั้นคลังที่บางปะกงและคลังที่สุราษฎร์ฯ จะเปิดให้โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตแอลพีจีเพิ่มขึ้น หรือเกินกว่าที่คลังของโรงกลั่นฯนั้นๆจะสามารถเก็บได้ ก็สามารถมาเช่าคลังของบริษัทได้ ส่วนในอนาคตหากมีการเปิดนำเข้าเสรี ก็เชื่อว่าจะมีผู้ค้าที่สนใจเช่าคลังของบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันคลังแอลพีจีที่บางปะกงยังมีพื้นที่เหลืออีก 50% ที่ยังสามารถรองรับลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 4 - 7 กันยายน พ.ศ. 2559