กำหนดนัดวันฟังคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา 31ส.ค.นี้

30 ส.ค. 2559 | 07:44 น.
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 พนักงานอัยการจังหวัด ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุนนท์ หรือโกมิตร แสงทอง นายสุริยา ยอดรัก และนายวราชัย ชฎาทอง เป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำที่ 768/2558 ในข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานการค้ามนุษย์ สนับสนุนการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์  ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ เพื่อจะเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีฐานะคล้ายทาส ตามประมวลกฎหมายอาญา นำพาคนต่างด้าวเข้ามาให้อาศัย หรือซ่อนเร้น ในราชอาณาจักรไทยโดยฝ่าฝืน พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 โดยมีผู้เสียหายที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี บุคคลอายุเกิน 15 ปีแต่ไม่ถึง 18 ปี และบุคคลตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป

ต่อมาผู้เสียหายบางรายในคดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอตั้งทนายความเข้า เป็นโจทก์ร่วมและนำเสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งเป็นผลจากการที่เครือข่ายแรงงานข้ามชาติได้ร่วมสังเกตการณ์ การดำเนินคดีแต่แรกเริ่มและเห็นว่า ผู้เสียหายต้องการนักกฎหมายเพื่อให้คำปรึกษาในการเข้าร่วมในคดี เพื่อให้หลักฐานในคดีมีความรัดกุมมากขึ้น จึงได้ระดมความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ  ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ทนายความเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และตามประมวลกฎหมายอาญา คดีนี้ศาลได้กำหนดวันนัดสืบพยานก่อนฟ้อง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2558 สืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยตั้งแต่ เดือนมกราคม 2558 ถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2559 โดยศาลจังหวัดพนัง ได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่                31 สิงหาคม 2559 เวลา 09.00 น.

ที่มาของคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2558 พ.ต.อ.นพดล เพ็ชรขาวเขียว ผู้กำกับ สถานีตำรวจภูธรหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับรายงานว่าจะมีการลักลอบขน ชาวโรฮิงญามาจากพื้นที่จังหวัดระนองไปยังจังหวัดสงขลา โดยใช้พื้นที่อำเภอหัวไทร เป็นเส้นทางผ่าน จึงได้สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจตั้งจุดตรวจสอบ ถนนสาย 408 นครศรีธรรมราช-หัวไทร กระทั่ง พบรถยนต์ ต้องสงสัยจำนวน 5 คัน วิ่งตามหลังกันมา เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณให้หยุด เพื่อตรวจค้น โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลัง ตรวจรถต้องสงสัยได้เพียง 2 คัน ปรากฎว่า คนขับรถยนต์กระบะจำนวน 3 คันที่เหลือได้ทิ้งรถและวิ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมคนขับรถ ที่ตรวจไว้ได้สองคันแรก และเมื่อตรวจสอบรถยนต์กระบะทั้ง 5 คน พบว่ามีชาวโรฮิงญานั่งอยู่ท้ายรถกระบะ รวม 98 คน (ผู้ชาย 30 คน ผู้หญิง 26 คน เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 42 คน) พบว่าแต่ละคนอยู่ในสภาพอ่อนพลีย อย่างหนัก และในจำนวนดังกล่าว พบชาวโรฮิงญาเสียชีวิตเนื่องจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนชาวโรฮิงญาที่รอดชีวิตได้เข้าสู่กระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามประมวลกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการดูแลผู้เสียหายระหว่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา