ศึกซูเปอร์ฯพรีเมียมร้อนฉ่า เดอะมอลล์-เซ็นทรัล-วิลล่าเกาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

02 ก.ย. 2559 | 05:00 น.
เดอะ มอลล์ตัดใจโละชื่อ “โฮม เฟรช มาร์ท”ปรับโฉมเป็น “กูร์เมต์ มาร์เก็ต” สู้ศึกซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียม เกาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมทุ่มงบกว่า560 ล้านบาท ขยายสาขา อัดแผนการตลาดเต็มสูบมั่นใจสิ้นปีโกยยอดขาย 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 6%ขณะที่ “เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล” ลั่นเทงบ 6.5 พันล้านบาท ผุดสาขา 600 แห่งคลุมทั่วไทยใน 5 ปี ด้าน “วิลล่ามาร์เก็ต” เน้นสรรหาโลเกชัน หวังสยายปีกภูธร

นายชัยรัตน์ เพชรดากูล ผู้จัดการใหญ่บริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้ชื่อ "กูร์เม่ต์ มาร์เก็ต" และ "โฮม เฟรช มาร์ท" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังเปิดให้บริการโฮม เฟรช มาร์ทมานานเกือบ 30 ปี ล่าสุดบริษัทมีแผนปรับเปลี่ยนชื่อโฮม เฟรช มาร์ทใหม่เป็น "กูร์เม่ต์ มาร์เก็ต" ทั้งหมด โดยจะทยอยเปลี่ยนพร้อมกับปรับปรุงสาขาใหม่ ในปีนี้ 3 แห่ง ได้แก่ เดอะ มอลล์ บางกะปิ , นครราชสีมา และบางแค ส่วนอีก 3 แห่ง ได้แก่ เดอะ มอลล์ 2 (รามคำแหง) , ท่าพระ และงามวงศ์วาน จะทยอยปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อในปีหน้า ส่งผลให้จะไม่มีแบรนด์โฮม เฟรช มาร์ท อีกต่อไป ส่วนสาขาใหม่ที่เกิดขึ้น จะอยู่ภายใต้แบรนด์กูร์เม่ต์ มาร์เก็ตทั้งหมด

"หลังทำวิจัยและศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้พบว่าแบรนด์กูร์เม่ต์ มาร์เก็ต มีภาพลักษณ์และตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน และเมื่อต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตเซกเม้นท์พรีเมี่ยม ทำให้ต้องตัดสินใจเลือก โดยปัจจุบันกูร์เม่ต์ มาร์เก็ต เปิดให้บริการรวม 6 แห่ง ได้แก่ ดิ เอ็มโพเรียม , เอ็มควอเทียร์ , พารากอน , เทอร์มินอล 21 , เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ และเดอะ พรอมานาด"

ด้านการลงทุนใน 2 ปีนี้ บริษัทจะใช้งบประมาณกว่า 560 ล้านบาท แบ่งเป็นงบในปี 2559 จำนวน 360 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงสาขาเดิม 3 แห่งจำนวน 150 ล้านบาท ได้แก่ สาขาบางกะปิ นครราชสีมา และบางแคเฉลี่ยสาขาละ 50 ล้านบาท การเปิดสาขาใหม่ที่บลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์กว่า 90 ล้านบาท (เปิดให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคมนี้) และงบการตลาดอีก 120 ล้านบาท สำหรับทำกิจกรรมและสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ ส่วนในปี 2560 จะใช้งบกว่า 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบสำหรับปรับปรุงสาขาเดิมอีก 3 แห่ง จำนวนกว่า 100 ล้านบาทได้แก่ สาขารามคำแหง ท่าพระ และงามวงศ์วาน และงบการตลาดอีกกว่า 100 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทได้ปรับภาพลักษณ์ของกูร์เม่ต์ มาร์เก็ตให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ พร้อมเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่จัดจำหน่ายเป็นของสด 48% และ ของแห้ง 52% จากเดิมที่สินค้าภายในโฮม เฟรช มาร์ท จะเป็นของสด 28% และของแห้ง 72% สอดรับกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่นิยมสินค้าสด ใหม่ มีคุณภาพ ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการถี่ขึ้นเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จากเดิมที่เฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อเดือน อัตราการซื้อก็จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่มาร์จิ้นของสินค้าอาหารสดก็จะมากกว่าอาหารแห้งด้วย

"เมื่อปรับเพิ่มสินค้าอาหารสด สิ่งที่กูร์เม่ต์ มาร์เก็ตได้มาคือยอดขายที่เพิ่มขึ้น กำไรที่มากขึ้น และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องมากขึ้น"

นอกจากการขยายสาขาทั้งภายในศูนย์การค้าและในรูปแบบสแตนด์อะโลนแล้ว บริษัทยังเสริมบริการเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการบริการส่งสินค้าถึงที่จอดรถ การบริการออนไลน์ (แฮปปี้ เฟรช พร้อมจัดส่งสินค้าถึงบ้าน) และล่าสุดยังเพิ่มโซน You Hunt We Cook บริการปรุงอาหารพร้อมรับประทานได้ทันทีภายในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสะดวกและได้ทานอาหารดี มีคุณภาพมากขึ้น

"การแข่งขันในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม จะแข่งกันที่อาหาร ของสด ซึ่งคุณภาพดีจะสามารถดึงลูกค้าให้มาซื้อเป็นประจำ และยังเพิ่มปริมาณได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันบริษัทเน้นการสื่อสารไปยังผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านทางช่องทางโซเชียล มีเดีย เพื่อให้เกิดการโต้ตอบกับลูกค้ามากขึ้น และเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นการจัดกิจกรรมโปรโมชั่นต่างๆ ทุกๆ 15 วัน ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารับรู้และมาใช้บริการ จากเดิมที่ไม่ได้กำหนดตายตัว ว่าจะต้องจัดเป็นระยะเวลาเท่าไร"

อย่างไรก็ดี หลังการปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ บริษัท ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตรวม 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 6% ขณะที่ใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมาพบว่ามีการเติบโตแล้ว 7.4% โดยปัจจุบันกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตทำรายได้คิดเป็นสัดส่วนราว 20% จากผลประกอบการรวม 5.4 หมื่นล้านบาทในปีนี้

ด้านนายอลิสเตอร์ เทย์เลอร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารร้านเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และร้านในกลุ่มท็อปส์ กล่าวว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุน 6,500 ล้านบาท สำหรับขยายสาขาให้ได้ 600 แห่งภายในระยะเวลา 5 ปี (2560-2564) จากปัจจุบันที่มีสาขาราว 205 แห่ง ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยที่ผ่านมาตลาดฟู้ดรีเทลยังมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นเซกเม้นท์ที่มีการเติบโตมากที่สุด โดยบริษัทเองในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็มีการเติบโต โดยพบว่าจนถึงเดือนมิถุนายนมีการเติบโต 13% และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีการเติบโต 15%

ด้านกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทจะเน้นการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น โดยอาศัยระบบ CRM (Customer Relationship Management) ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการลูกค้าเชิงลึก เข้าใจกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม สรรหาสินค้าและบริการที่ตรงใจ มีร้านค้ารูปแบบต่างๆ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพด้านการบริการออนไลน์ ผ่านทาง TopsShopOnline บริการส่งสินค้าถึงบ้าน

ล่าสุดบริษัทยังเพิ่มบริการ "คลิก แอนด์ คอลเล็ค" (Click & Collect) เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาสั่งสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งยังเสริมบริการส่งสินค้าไปตามจุดหมายที่ต้องการ หรือจะมารับเองตามจุดที่กำหนดไว้เช่น สถานีรถไฟฟ้า สาขา หรืออาคารสำนักงานต่างๆ เป็นต้น

ขณะที่นายพิศิษฐ์ ภูสนาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิลล่า มาร์เก็ท เจพี จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต "วิลล่า มาร์เก็ท" กล่าวว่า จุดเด่นของวิลล่า มาร์เก็ทคือการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ชีส ผักสด ผลไม้ สินค้าเพื่อสุขภาพ ฯลฯ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลากหลายทั้งระดับบน กลาง และล่าง โดยที่ผ่านมาบริษัทไม่เน้นการขยายสาขาเพิ่มมากนัก โดยปัจจุบันมีสาขาที่เปิดให้บริการเพียง 33 แห่ง และในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 แห่งที่ย่านรามอินทรา ในรูปแบบสแตนด์อะโลน

อย่างไรก็ดี ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาบริษัทเน้นการขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่ ที่มีศักยภาพ และล่าสุดบริษัทมีแผนขยายสาขาไปยังศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ อุดรธานี โดยใช้งบลงทุนราว 40 ล้านบาท มีพื้นที่ 1,200 ตร.ม. เพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคในจังหวัดอุดรธานี จังหวัดใกล้เคียง รวมถึงจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่นโยบายของบริษัทจะเน้นการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 3-4 แห่งต่อปีโดยเน้นทำเลที่มีศักยภาพเป็นสำคัญ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,188 วันที่ 1 - 3 กันยายน พ.ศ. 2559