โกลเด้นแลนด์เล็งบุกต่างจังหวัด เจาะพื้นที่นิคมฯนำร่องชลบุรีเป้า 5 ปีโกยกำไรพันล้าน

29 ก.ค. 2559 | 11:00 น.
“โกลเด้นแลนด์”เปิดยุทธศาสตร์รุกอสังหาฯต่างจังหวัด ปักธงพื้นที่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมชูทาวน์เฮาส์เป็นสินค้าหลัก เริ่มทำตลาดจริงจังปีหน้า นำร่องจังหวัดชลบุรี ตั้งเป้าใน 5 ปี รายได้ 1,000 ล้านบาท “แสนผิน” เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกโกยยอดขายเกินเป้า 52% อีก 6เดือนหลังวางแผนเปิดขายใหม่อีก 10 โครงการมูลค่า 9,000 ล้านบาท ปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่ราคาที่ดินสูง 30%

นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือโกลเดนแลนด์ เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ที่ผ่านมาจะทำตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก เพราะเป็นแหล่งงานใหญ่สุดของประเทศ ผู้ที่จบการศึกษาจากต่างจังหวัดก็จะหลั่งไหลเข้ามาหางาน ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยค่อนข้างเติบโตต่อเนื่อง แต่ในปีหน้ามีแผนจะขยายตลาดออกสู่ต่างจังหวัด โดยนโยบายของบริษัทฯจะมุ่งเจาะจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรม เพราะมีความหนาแน่นของประชากร นอกจากนี้ในต่างจังหวัดก็มีบริการอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถทำงานที่บ้านได้ และสุดท้ายต้นทุนของบริษัทฯสามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นได้

"ขณะนี้เจรจาซื้อที่ดินไว้แล้ว 2 แปลง ในจังหวัดชลบุรี คาดว่าจะสามารถพัฒนาโครงการได้ในปี 2560 โดยจะพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ เพราะมองว่าพฤติกรรมคนต่างจังหวัดจะนิยมที่อยู่อาศัยแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม และตามแผน 5 ปี (2559-2563) ตั้งเป้ารายได้ตลาดต่างหวัดไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท"

ส่วนเมืองท่องเที่ยวซึ่งมีประชากรหนาแน่น และความต้องการที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียม แต่บริษัทฯจะพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ ดังนั้นหากจะรุกตลาดเมืองท่องเที่ยวก็จะพิจารณาแต่ละพื้นที่ เช่น พัทยา ตลาดต้องการคอนโดมิเนียม แต่หัวหิน บ้านและทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมมากกว่า แต่ปัจจุบันทั้ง 2 ตลาดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมีปริมาณซัพพลายล้น ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง

สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2559 นี้ เฉพาะส่วนที่อยู่อาศัยคือบ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยวทำยอดขายได้ 8,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท หรือเกินกว่าประมาณ 52% ผลจากกลยุทธ์เจาะตลาดทาวน์โฮมระดับราคา 2-3 ล้านบาท บนทำเลในเมืองที่มีความหนาแน่น เช่น ที่งามวงศ์วาน อยู่ใกล้ห้างเดอะมอลล์ ได้รับการตอบรับที่ดี จากการศึกษาตลาดพบว่าคนส่วนใหญ่มักติดพื้นที่ เมื่อต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ก็มักจะมองหาในพื้นที่เดิมก่อน เพื่ออยู่ใกล้ญาติ

"ปัจจัยที่ทำให้ทาวน์โฮมของเราประสบความสำเร็จ เป็นเพราะเรากล้าที่ซื้อที่ดินราคาแพง ที่อยู่ในเมืองหรือแหล่งชุมชน แต่สามารถทำต้นทุนให้แข่งขันได้ โดยจะซื้อที่ดินจำนวนหนึ่งเพื่อพัฒนา เมื่อดีมานด์เพิ่มมากขึ้นก็อาจจะซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาเพิ่มได้ ดังนั้นต้นทุนทาวน์โฮมของเรากับผู้นำไม่ต่างกัน โดยที่เราใส่ฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งสโมสร สระว่ายน้ำ และสวนสาธารณะ ยกระดับลูกค้าที่ซื้อทาวน์โฮม ได้ที่อยู่อาศัยในสังคมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้คนซื้อรู้สึกประทับใจ"

ส่วนแผนครึ่งปีหลังจะเปิดขายใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านแฝด 2 โครงการทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ทั้งนี้ เป้าหมายในปี 2559 รายได้คาดว่าจะทำได้ 9,000 ล้านบาท ซึ่งปรับใหม่จากเดิมตั้งไว้ 8,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5% พร้อมกันนี้ได้ปรับเป้าหมายยอดขายจากเดิม 1.3 หมื่นล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ทั้งปีประมาณ 3,000 ล้านบาท เพราะทำเฉพาะแนวราบ ขณะที่แผน 5 ปียังคงเป้าหมายรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 1 ใน 5 อันดับแรก

"ปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังคือ ราคาที่ดิน ยังคงสูงขึ้นค่อนข้างมาก โดยต่อปีปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับราคาเดิม ฉะนั้นบริษัทฯต้องซื้อแล้วพัฒนาเลย โดยปี 2559 โกลเดนแลนด์มีงบซื้อที่ดินรอบกรุงเทพฯ ประมาณ 5,500 ล้านบาท ส่วนปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจไม่น่าห่วง"

นายแสนผิน กล่าวเสริมถึงแบรนด์โกลเดนแลนด์ว่า ปัจจุบันในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โกลเดนแลนด์ เฟซบุ๊ค จัดอยู่อันดับ 5 ทั้งที่ไม่มีโครงการคอนโดมิเนียม โดย 5 อันดับแรกมี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์, แสนสิริ, เอพี ไทยแลนด์, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และโกลเดนแลนด์ ตามลำดับ คาดว่าปลายปีนี้จะขึ้นอันดับ 4 เพราะสำหรับสื่อโซเชียลเช่นเฟซบุ๊ค นั้นโครงการคอนโดมิเนียมจะมีส่วนเพิ่มแฟนเพซได้อย่างมาก ประกอบกับสินค้าหลากหลาย แต่ของโกลเดนแลนด์มีแต่แนวราบอย่างเดียว เพราะมีการทำเนื้อหาให้สอดคล้องกับเหตุการณ์

"ช่วงหลังเราใช้เฟซบุ๊คในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในการเปิดตัวโครงการใหม่ มีผู้สนใจมาลงทะเบียนกับเรามาก โดยยอดลงทะเบียนมีประมาณ 7,000-8,000 ราย แต่ถ้าบ้านราคาแพงๆจะมีผู้ลงทะเบียน 300 ราย แล้วเราจะทำการเช็คว่ามาจริงกี่เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนี้ผันมาเป็นลูกค้าจองประมาณ 20-25% ทั้งบ้านและทาวน์เฮ้าส์"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,178 วันที่ 28 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559